Categories
Content

MG ES รถยนต์ไฟฟ้าปี 2023 177 แรงม้า รุ่นใหม่ล่าสุดจาก MG

MG ES

MG ES ปี 2023 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 5 ที่นั่ง 177 แรงม้า ที่ทางแบรนด์ได้ปรับโฉมใหม่ ให้มีทั้งระบบต่าง ๆ ที่ใหม่ ทันสมัย และครบครันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังรถรุ่นนี้ยังพร้อมให้คุณสั่งจองรถล่วงหน้าก่อนใครได้แล้ว ดังนั้นวันนี้เราจึงจะไม่พูดถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ไม่ได้ 

MG ES รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แวน ที่ใช้ในการชาร์จพลังงานจาก 0 – 80% เพียง 40 นาที

MG ES

รถMG ES เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แวนรุ่นใหม่จากMG ที่ทางแบรนด์ได้นำมาปรับโฉมใหม่ หรือจะเรียกว่าเป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ โดย มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor เจนเนอเรชันใหม่ ที่ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า 130 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน – เมตร ความจุแบตเตอรี่ 51 กิโลวัตต์/ชม. ทําความเร็วได้สูงสุด 185 กม./ชม. สามารถเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.3 วินาที และมีระยะเดินทางสูงสุด (NEDC Mode) 412 กิโลเมตร 

การชาร์จของ รถMG ES 2023 รองรับระบบ Quick Charge 87 kWh ที่ทำให้คุณสามารถชาร์จจาก 0 – 80% ภายในระยะเวลาเพียง 40 นาที จึงทำให้คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็ว และประหยัดระยะเวลาในการชาร์จมากยิ่งขึ้น หรือจะชาร์จผ่านMG Home Charger จาก 0 – 100% ในระยะเวลา 7 ชั่วโมง 15 นาที นอกจากนี้MG ยังมีสถานีชาร์จMG Super Charge ทั่วไทย 129 สถานี หรือพบที่ตั้งสถานีชาร์จทุก 150 กิโลเมตร ดังนั้นใครที่เป็นสายเดินทางไกล ก็ไม่ต้องห่างเรื่องของสถานีชาร์จระหว่างทางแต่อย่างใด

อุปกรณ์ภายใน และความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม พร้อมเปิดราคาไทย

สำหรับ รถMG ES รุ่นปี 2023 ที่เราพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้จะเผยโฉมให้ทุกคนให้เห็นอย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Show 2023 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2023 ที่จะถึงนี้ โดย รถMG ES 2023 ราคา ที่เปิดตัวในอังกฤษอยู่ที่ประมาณ 30,995 ปอนด์ หรือราว 1,286,170 บาท และสำหรับราคาในประเทศจีนก็อยู่ที่ราว ๆ เริ่มต้น 790,000 บาท ส่วนราคาในไทยก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้วเป็นที่เรียบร้อยโดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,200,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่ได้เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนภาครัฐ และหากใครที่อยากเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ก่อนใครคุณยังสามารถจองรถล่วงหน้าผ่าน https://onlinebooking.mgcars.com/model พร้อมรับโปรโมชั่น และข้อเสนอที่น่าสนใจต่าง ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้สำหรับอุปกรณ์ภายใน และความสะดวกสบายของ New MG ES2023 ก็เรียกว่าให้มาอย่างครบครัน โดยภายในจะถูกตกแต่งภายในด้วยวัสดุ Soft touch สีดำ เบาะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์และตกแต่งด้วยวัสดุที่ให้สัมผัสคล้ายผ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40 พวงมาลัยหุ้มหนัง ปรับ 4 ทิศทาง จอแสดงผลการขับขี่อัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-Function Display) ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 และระบบจ่ายกระแสไฟ V2L (Vehicle to Load) เป็นต้น

สุดท้ายสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ระบบเครื่องเสียง ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานต่าง ๆ ก็ให้มาแบบครบครันทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ จอกลางระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth ช่องเชื่อมต่อ USB อีกทั้งยังรองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> H-1 Elite NS รถตู้ VIP 11 ที่นั่ง ครอบครัวใหญ่คันเดียวจบ

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

H-1 Elite NS รถตู้ VIP 11 ที่นั่ง ครอบครัวใหญ่คันเดียวจบ

H-1 Elite NS

H-1 Elite NS เป็นตู้จากแบรนด์ Hyundai ที่มีขนาดใหญ่ สามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุดได้ถึง 11 ที่นั่ง ซึ่งเป็นรถที่เหมาะกับครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งคุณปู่ คุณย่า และคุณตา คุณยาย เดินทางท่องเที่ยวไปในทริปพิเศษ ดังนั้นใครที่รู้สึกว่า รถอเนกประสงค์ อย่าง SUV และ MPV ยังไม่ใช่คำตอบ รถตู้ VIP 11 ที่นั่ง รุ่นนี้ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย 

H-1 Elite NS รถตู้ 175 แรงม้า พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน

H-1 Elite NSเป็นรถตู้ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล Inline-4 DOHC 16V ขนาด 2,497 ซีซี กำลังสูงสุด 175 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 2,250 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ตัวรถมีขนาดใหญ่ ภายในกว้างขวาง ด้วยมิติตัวถัง 1,920 × 5,169 × 1,925 มม. (กว้าง × ยาว × สูง) ระยะฐานล้อ 3,200 มม. และมีระยะต่ำสุดจากพื้นอยู่ที่ 190 มม. ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ซึ่งความยาวของรถที่มีความยาวกว่า 5 เมตร และ กว้างเกือบ 2 เมตร จึงทำให้ผู้โดยสารสามารถโดยสารได้อย่างสบาย ไม่รู้สึกอึด

การตกแต่งภายในพร้อมฟังก์ชันต่าง ๆ Hyundai ก็ให้มาอย่างครบครัน โดย Hyundai h-1 elite nsจะมีที่นั่งมาให้ทั้งหมด 11 ที่นั่ง (รวมที่นั่งคน และข้างคนขับ) หุ้มด้วยหนัง โดยเบาะแถวที่ 2 สามารถปรับหมุน 180 องศา ทำให้ผู้โดยสารที่นั่งต่ำแหน่งแถว 2 สามารถหันไปพูดคุยกับผู้โดยสารแถวหลังได้ ซึ่งรูปแบบของเบาะจะสามารถปรับได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ เบาะปกติ, พับเบาะกลาง (เบาะกลางแถว 2 และ 3), หมุนเบาะแถว 2 180 องศา, พับเบาะท้าย (แถวที่ 4) และ พับเบาะท้ายเพื่อบรรทุกของได้มากขึ้น อีกทั้งบริเวณด้านหลังของพนักพิงเบาะกลางแถวที่ 2 และ 3 มีฟังก์ชันสำหรับวางแก้วน้ำและสิ่งของต่าง ๆ  

ภายในตกแต่งลายไม้ พวงมาลัยปรับระดับ สูง-ต่ำ และ เข้า-ออก พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เพื่อให้ลดความเมื่อยล้าเมื่อขับรถระยะไกล ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Auto A/C) หน้าปัดแบบ Supervision Meters มี GPS มาในตัว อีกทั้ง h-1 elite ยังให้ช่องเสียบ 12V 2 ตำแหน่ง ช่องจ่ายไฟ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ช่องเสียบ USB / AUX รองรับเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมเครื่องเสียงวิทยุ รองรับไฟล์ MP3 และ CD 1 แผ่น อีกทั้งภายในถูกติดตั้งลำโพง 6 ตำแหน่ง เป็นต้น

H-1 Elite NS

Hyundai h-1elite ns ราคา 1,399,000 บาท พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้

สำหรับ H-1 Elite NS ถูกวางจำหน่ายในไทยแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดย h-1 elite ns ราคา เริ่มต้นที่ 1,399,000 บาท ซึ่งมีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Arctic White, Timeless Black และ Tan Brown และสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ก็สามารถเข้าไปคำนวณการผ่อนชำระได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ของ Hyundai หรือเข้าไปชมรถของจริงได้ที่ศูนย์บริการ Hyundai หรือโชว์รูมของผู้นำเข้าอิสระก็ได้เช่นกัน

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Bentley continental GT Mulliner รถยนต์สุดหรู ที่แรงสุดถึง 659 แรงม้า

Categories
Content

Daytona International Speedway หนึ่งใน สนามแข่งรถ ที่ดีที่สุดของฟลอริด้า

สนามแข่งรถ

สนามแข่งรถ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ถูกพัฒนาควบคู่กับกีฬาแข่งรถมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Daytona International Speedway ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น โดยสนามแห่งนี้เป็นหนึ่งในสนามที่ดีที่สุดของรัฐฟลอริด้า และมีประวัติมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญสนามแห่งนี้ยังเหมาะกับการทำกิจกรรมสำหรับครอบครัว และเพื่อน ๆ อีกด้วย

Daytona International Speedway

Daytona International Speedway สนามแข่งรถ เก่าแก่กว่า 64 ปี

Daytona International Speedwayคือ สนามแข่งรถ ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเดย์โทนาบีช รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมี NASCAR เป็นเจ้าของสนาม โดย Sr. William France ผู้ก่อตั้ง NASCAR เริ่มวางแผนสำหรับสนามแข่งแห่งนี้ในปี 1953 เพื่อใช้ในการแข่งขันซึ่งขณะนั้นกำลังแข่งอยู่บนDaytona Beach Road Course ซึ่งเป็นสนามที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1902 แต่หลังจากที่ สนามรถแข่งDaytona International Speedway สร้างเสร็จและเปิดใช้งานในปี 1959 หรือราว ๆ 64 ปีที่แล้วDaytona Beach Road Course ก็หมดหน้าที่ลงทันที 

สนามแข่งรถ

โดย สนามรถแข่ง Daytona ถูกออกแบบมาให้รองรับการแข่งขันที่หลากหลาย ดังนั้นระยะทางของสนามสำหรับการแข่งขันรายการต่าง ๆ จึงแตกต่างกันออกไป ซึ่ง NASCAR Tri-Oval (1959–ปัจจุบัน) มีระยะทาง2.500 ไมล์ (4.023 กม.), Sports Car Course (1985–ปัจจุบัน) ระยะทาง 3.560 ไมล์ (5.729 กม.), NASCAR Road Course (2020–2021) ระยะทาง 3.570 ไมล์ (5.745 กม.) และ Motorcycle Course (2005–ปัจจุบัน) ระยะทาง 2.950 ไมล์ (4.748 กม.) อีกทั้งยังสามารถจุผู้ชมได้สูงตั้งแต่ 101,500–167,785 คนเลยทีเดียว

นอกจากนี้สนามแห่งนี้สนามแห่งนี้ยังเคยใช้เป็นสนามสำหรับการแข่งขันที่มีชื่อเสียงหลากหลายรายการ เช่น Grand Prix motorcycle racing, Daytona 200, United States motorcycle Grand Prix, 24 Hours of Daytona, Grand American Road Racing Championship และ BMW Endurance Challenge at Daytona เป็นต้น 

เดย์โทนาอินเตอร์เนชันแนลสปีดเวย์ สนามที่พักผ่อน และทำกิจกรรมครอบครัว

สนามแข่งรถ ที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ แห่งทั่วโลก นอกจากเป็นสนามที่ใช้สำหรับแข่งรถ และจัดอีเวนท์เกี่ยวกับยานยนต์รูปแบบต่าง ๆ แล้ว สนามแข่งรถยังมักจะถูกสร้างมาเพื่อใช้เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อน และทำกิจกรรมสำหรับครอบครัวและเพื่อน ๆ ซึ่ง Daytona Speedway ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น โดยสนามแข่งรถแห่งนี้จะถูกออกแบบโซนสำหรับตั้งแคมป์ และทำกิจกรรมมากถึง 10 โซน ได้แก่ Gecko Shores at Lake Lloyd $990, Geico Green RV $599, Geico Orange Campground $365, Geico Park West RV $220-240, Geico Red Premium RV $440-850, Geico Red RV $280-475, Geico Yellow Premium RV $440-990, Geico Yellow RV $409, Geico Park West Premium RV และ Geico West Horseshoe RV ซึ่งทั้งหมดนี้คุณสามารถกดซื้อตั๋วพร้อมอ่านเงื่อนไขต่าง ๆ บนเว็บไซต์ Daytona international speedway หรือหากใครที่อยากเข้าชมการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนสนามนี้ ก็สามารถเขไปกดซื้อบัตรได้ง่าย ๆ บนเว็บไซต์นี้ได้เช่นเดียวกัน  

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Bentley continental GT Mulliner รถยนต์สุดหรู ที่แรงสุดถึง 659 แรงม้า

Categories
Content

Bentley continental GT Mulliner รถยนต์สุดหรู ที่แรงสุดถึง 659 แรงม้า

Bentley continental GT Mulliner

Bentley continental GT Mulliner เป็นรถยนต์ที่ Bentley นอกจากนำเอาความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาไว้ในรถรุ่นนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทางแบรนด์นำเอามาไว้ในรถรุ่นนี้ด้วยคือ ความเท่ และ สปอร์ต ซึ่ง Bentley continental GT ปัจจุบันผู้เปิดตัวมาทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Continental GT, Continental GT Azure, Continental GT S, Continental GT Speed และ Continental GT Mulliner ซึ่งเป็นรุ่นที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้ด้วย

Bentley continental GT Mulliner พร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังทั้ง V8 และ W12 

Bentley continental GT Mulliner

Bentley continental GT Mullinerปี 2023 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องยนต์ V8 และ W12 โดยContinental GT Mullinerเครื่องยนต์ V8 Twin – Turbocharged 4.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้า (542 bhp) 404 กิโลวัตต์ ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตัน – เมตร ที่ 2,000 – 4500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ความเร็วสูงสุด 198 ไมล์/ชม. (318 กม./ชม.) อัตราเร่งBentley Continental GT Mulliner 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ใน 3.9 วินาที (0 – 100 กม./ชม. ใน 4.0 วินาที)

Continental GT Mulliner เครื่องยนต์ W12 Twin-Turbocharged 6.0 ลิตร ที่ให้แรงม้าสูงสุด 659 แรงม้า (650 bhp) 485 กิโลวัตต์ ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน – เมตร ที่ 1,500-5,000 รอบต่อนาที เกียร์คลัตช์คู่ (Dual – Clutch) 8 สปีด ความเร็วสูงสุด 208 ไมล์/ชม. (335 กม./ชม.) อัตราเร่ง 0 – 60 ไมล์/ชั่วโมง ใน 3.5 วินาที (0 – 100 กม./ชม. ใน 3.6 วินาที) 

นอกจากนี้Bentley Continental GT Mulliner 2023 ทั้ง 2 รุ่น เป็นรถคูเป้ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ภายในถูกดีไซน์ให้มีทั้งความหรูหรา และความสปอร์ตอย่างลงตัว โดยเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร ถูกพัฒนามาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และแปลกใหม่ให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตั้งแต่ระบบตัดเสียงรบกวน (Pirelli Noise Cancellation System) ไปจนถึงเครื่องสร้างประจุไอออนในอากาศที่ช่วยฟอกอากาศในห้องโดยสารอย่างต่อเนื่อง 

มีฟีเจอร์ Apple CarPlay ควบคู่ไปกับฮอตสปอต Wi-Fi และการชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ที่สำคัญคือคุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการติดตั้งลำโพง หรือ ระบบเสียงจากระบบเสียงได้จาก 3 แบรนด์ ได้แก่ Bentley Signature Audio (ติดตั้งเป็นมาตรฐาน), Bang & Olufsen 16 Channel หรือ Naim Audio 20 Channel ซึ่งทั้งหมดนี้จะออกแบบมาเพื่อ Bentley โดยเฉพาะ 

Bentley Continental GT Mullinerราคา เริ่มต้นที่ 306,600 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของBentley continental GT Mullinerปัจจุบันคุณสามารถสั่งจองรถรุ่นนี้กับ Bentley Bangkok ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการในประเทศไทยได้แล้ว โดยMulliner V8 มีราคาอยู่ที่เริ่มต้นที่ $306,600 หรือราว ๆ 10,563,289 บาท และ รุ่นMulliner W12 $341,900 หรือราว ๆ 11,779,480 บาท ซึ่งราคานี้ยังไม่ใช่ราคานำเข้าในไทย ซึ่งหากเป็นราคานำเข้าและรวมภาษีคาดว่าราคาของContinental GT Mullinerรุ่นนี้อาจจะมีสูงถึง 30 – 40 ล้านบาทเลยทีเดียว

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Porsche Cayenne GTS Coupé คูเป้ 4 ประตู พร้อมสีพิเศษต้อนรับตรุษจีน

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

Porsche Cayenne GTS Coupé คูเป้ 4 ประตู พร้อมสีพิเศษต้อนรับตรุษจีน

Porsche Cayenne GTS Coupé

Porsche Cayenne GTS Coupé เป็นรถคูเป้ 4 ประตู ที่เปิดตัวครั้งแรกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 โดยรถรุ่นนี้เป็นรถครอบครัวที่จัดเต็มในเรื่องของความสปอร์ตทั้งในส่วนของดีไซน์ และ พละกำลัง และที่สำคัญตรุษจีนปีกระต่ายปีนี้ ใครที่กำลังหาของขวัญชิ้นใหญ่ต้อนรับตรุษจีน Porsche Cayenne GTS Coupé ที่ตกแต่งด้วย Special Colour ก็อาจจะเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่เพิ่มความเฮงให้กับปีกระต่ายปีนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

Porsche Cayenne GTS Coupé 453 แรงม้า รถครอบครัวที่แรงในฉบับของ Porsche

Porsche Cayenne GTS Coupé

Porsche Cayenne GTS Coupéมีขนาดของตัวรถ ยาว 4,939 มม. กว้าง 1,995 มม. กว้าง (รวมกระจก) 2,194 มม. สูง 1,656 มม. และ ระยะฐานล้อ 2,895 มม. ภายในกว้างขวางจึงทำให้สามารถโดยสาร 4 – 5คนได้แบบสบาย ๆ และไม่อึดอัด และ ปริมาตรห้องเก็บสัมภาระใหญ่ที่สุด (หลังเบาะหน้า จนถึงหลังคา) 1,507 ตร.ม. เลยทีเดียว 

Porsche Cayenne GTS Engine (เครื่องยนต์) รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4 ลิตร 3,996 ซีซี 8 สูบ ที่ให้กำลังสูงสุด 453 แรงม้า (Hp) 338 กิโลวัตต์ 460 PS ที่ 6,000 – 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 620 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 4,500 รอบต่อนาที Top speed 270 กม./ชม. อัตราเร่งของPorsche cayenne GTS Coupe 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อม Sport Chrono Package ใน 4.2 วินาที (0 – 100 กม./ชม. 4.5 วินาที ) เกียร์ 8-Speed Tiptronic S อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมือง 15.3 – 14.9 ลิตร และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนอกเมือง 9.1 – 9.1 ลิตรเท่านั้น 

การตกแต่งภายในและอุปกรณ์ความบันเทิงที่ Porsche ให้มาก็เรียกว่าให้มาอย่างครบครัน โดยหากเป็นภายในมาตรฐานจะมาพร้อมเบาะนั่งที่หุ้มด้วยหนังกลับสังเคราะห์ (Alcantara) เบาะนั่งด้านหน้าแบบสปอร์ต GTS พร้อมพนักพิงศีรษะในตัว ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ระบบเบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบสปอร์ต 2 ที่นั่ง พนักพิงศีรษะ 2 ทิศทาง ปรับเอนพนักพิงได้เอง พนักพิงพับแยก (40 /20/40) ถาดเก็บของตรงกลางและที่วางแขนตรงกลางแบบพับได้พร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ช่อง (หรือเลือกแบบ 5 ที่นั่งก็ได้) 

พวงมาลัยสปอร์ต ด้านหน้ามีที่วางแก้วในตัว 2 ช่อง ระบบควบคุมสภาพอากาศอัตโนมัติพร้อมการตั้งค่าอุณหภูมิและปริมาณลมแยกกันสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมโหมดหมุนเวียนอากาศอัตโนมัติ รวมถึงเซนเซอร์คุณภาพอากาศ ปุ่ม AC-MAX และเซนเซอร์วัดความชื้น มีระบบใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน ทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ มีระบบ Porsche Communication Management (PCM) ภายในถูกติดตั้งลำโพง 10 ตัวและเอาต์พุตรวม 150 วัตต์ พอร์ตชาร์จ USB-C 2 พอร์ตที่ช่องเก็บของคอนโซลกลางด้านหน้า และ พอร์ตชาร์จ USB-C 2 พอร์ตบริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง เป็นต้น

Porsche Cayenne CoupeGTS ราคา เริ่มต้นที่ 12,400,000 บาท

Porsche Cayenne GTS Coupé

สำหรับใครที่สนใจอยากเป็นเจ้าของPorsche Cayenne GTS Coupé ในปี 2023 นี้ รถรุ่นนี้ถูกนำเข้าไทยแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยCayenne GTS Coupe มีราคาเริ่มต้นที่ 12,400,000 บาท โดยมีสีตัวรถให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ ขาว และ ดำ ส่วน Metallic Colour ที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 121,000 บาท มีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Carrara White Metallic, Chromite Black Metallic, Dolomite Silver Metallic, Moonlight Blue Metallic, Mahogany Metallic และ Quarzite Gray Metallic

แต่สำหรับใครที่สนใจอยากได้สีพิเศษต้อนรับตรุษจีนปีนี้ จะเป็นในส่วนของ Special Colour จะมีราคาอยู่ที่ 263,000 บาท โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Carmine Red, Crayon และ Cashmere Beige Metallic ซึ่งสี Carmine Red และ Cashmere Beige Metallic จะเป็นสีที่เราอยากแนะนำให้สำหรับคนที่กำลังตามหาของขวัญให้คนรักหรือให้กับตัวเองในวันตรุษจีนเพื่อเพิ่มความเฮง เนื่องจาก ทั้ง 2 สี จะเป็น สีแดง และ สีทอง ที่เป็นสีมงคลของวันตรุษจีนนั่นเอง ซึ่งจะทำให้ Cayenne GTS ของคุณมีราคาอยู่ที่ 12,663,000 บาทเท่านั้น

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> New York to Paris race 1908 แข่งรถข้ามทวีป ให้โลกจำ

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

New York to Paris race 1908 แข่งรถข้ามทวีป ให้โลกจำ

แข่งรถข้ามทวีป

New York to Paris race 1908 นับว่าเป็นการแข่งรถที่ต้องถูกบันทึกลงสู่หน้าประวัติศาสตร์ของกีฬาแข่งรถเลยทีเดียว โดยการแข่งรถนี้เป็นนับว่าเป็นการ แข่งรถข้ามทวีป ที่ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1907 ซึ่งเป็นการแข่งขันที่เริ่มต้นจากปักกิ่ง ทวีปเอเชียยาว ไปจนถึงกรุงปารีส ทวีปยุโรป และ 1 ปีถัดมาในปี 1908 การแข่งขัน New York to Paris race ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยมีผู้คนกว่า 250,000 คน เข้าร่วมเป็นสักขีพยานที่จุดสตาร์ท ซึ่งจัดขึ้นที่ Times Square ของรัฐนิวยอร์ก

เล่าประวัติรายการ แข่งรถข้ามทวีป ที่ถูกจารึกให้เป็นการแข่งขันที่โหดที่สุด

แข่งรถข้ามทวีป

แข่งรถข้ามทวีป หากกล่าวคำนี้ในปัจจุบันหลาย ๆ คนคงอาจจะรู้สึกว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นอะไรสักเท่าไร เนื่องจากปัจจุบันก็มีการแข่งขันประเภทนี้เกิดขึ้นหลายรายการด้วยกัน เช่น ดาการ์แรลลี เป็นต้น แต่ที่จึงแล้วหากย้อนไปเมื่อราว 115 ปีก่อน การแข่งขันแข่งข้ามทวีปได้ถือกำเนิดขึ้นในชื่อรายการ New York to Paris race 1908 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า The Great Race 

ความน่าทึ่งของการแข่งขันนี้นอกจากจะเป็นการแข่งรถข้ามทวีปจากอเมริกาเหนือ (นิวยอร์ก) ไปจนถึงวีปยุโรป (ปารีส) แล้ว การแข่งขันนี้ยังถูกจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนแรงที่สุดของปีอีกด้วย ดังนั้นหากย้อนไปเมื่อ 115 ปีที่แล้วด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างจึงทำให้การแข่งขันนี้กลายเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ต้องถูกบันทึกไว้เลยว่าเป็นการแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ และโหดที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้

แข่งรถข้ามทวีป

การแข่งขันดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจาก 4 ประเทศ จำนวน 17 คน จากทีมทั้งหมด 6 ทีม ได้แก่ Thomas American, Zust Italian, Protos German, De Dion French, Moto – Bloc French และ Sizaire Naudin French โดย ทีม Thomas และ ทีม De Dion มีสมาชิกทีมทั้งหมดทีมละ 4 คน ส่วนทีมที่เหลือจะมีสมาชิกทีมทั้งหมดทีมละ 3 คน 

โดยการแข่งขันเริ่มขึ้นในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1908 ซึ่งมีจุดสตาร์ทอยู่ที่ Times Square นิวยอร์ก และไปสิ้นสุดที่หอคอยไอเฟล กรุงปารีส ซึ่งเส้นทางการแข่งขันจะไปทางตะวันตกข้ามสหรัฐอเมริกาไปยังซีแอตเทิลจากนั้นไปยัง วัลเดซ อะแลสกา และข้ามไปยังช่องแคบเบริงที่ในช่วงนั้นจะกลายเป็นธารน้ำแข็ง จากนั้นเดินทางต่อไปยัง ไซบีเรีย กรุงมอสโกว เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เบอร์ลิน และสุดท้ายไปยังปารีส ซึ่งทั้งหมดเป็นระยะทางกว่า 22,000 ไมล์เลยทีเดียว

การคว้าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของทีม Thomas 

บรรยากาศของการ แข่งรถข้ามทวีป ก่อนที่ทีม Thomas จากสหรัฐอเมริกาจะหลายมาเป็นผู้ชนะ หลังจากที่ การแข่งขันข้ามทวีป เริ่มต้นขึ้นได้เพียง 100 ไมล์แรก รถแข่งจาก 1 ใน 3 คันของฝรั่งเศส เกิดอุบัติเหตุเฟืองท้ายหัก และรถฝรั่งเศสคันที่ 2 ที่มีปัญหาทางกลไกจึงได้ยุติการแข่งขันหลังจากที่เดินทางไปจึงถึงรัฐไอโอวา ในขณะที่การแข่งขันยังคงดำเนิดต่อไป โดยมีทีม Thomas ขึ้นมาเป็นจ่าฝูงเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาใช้เวลาเพียง 41 วันเท่านั้นในการเดินทางข้ามอเมริกา 

เมื่อทีม Thomas เดินทางไปจนถึงอะแลสกาก็ได้พบว่าธารน้ำแข็งนั้นไม่มีอยู่จริง จนทำให้ผู้จัดการแข่งขัน สั่งให้พวกเขานำรถขึ้นเรือเพื่อกลับไปยังซีแอตเทิล และส่งทีมทั้งหมดข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังรัสเซีย จนทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่ 2 ที่เข้าเส้นชัย ซึ่งช้ากว่าทีมจากเยอรมนีอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่หลังที่การแข่งขันจบลงก็พบว่าทีมจากเยอรมนีทำผิดกฎของการแข่งขันโดยการนำรถขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังทางตะวันตกของอเมริกา ดังนั้นจึงทำให้ทีม Thomas จากอเมริกาได้ชัยชนะมาได้ในที่สุด และในการแข่งขันครั้งนั้นทางทีมจากอเมริกาได้ใช้รถที่มีชื่อว่า Thomas Flyer 1907 ในการแข่งขัน โดยเป็นรถ 60 แรงม้า 4 สูบ เกียร์ 4 สปีดที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ Road Warrior โดยเฉพาะ 

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> นักแข่ง F1 Jim Clark ตำนานผู้ล่วงลับ

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี