Categories
Content

แนะนำ 5 ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ฉบับส่งท้ายปี 2023

ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี

ยางรถยนต์นับว่าเป็นอีกหนึ่งในชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะยางรถยนต์นั้นนอกจากจะช่วยให้รถยนต์ของคุณวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดน้ำมันแล้ว ยังเป็นตัวช่วยให้คุณใช้รถได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากแนะนำ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ฉบับส่งท้ายปี 2023 ซึ่งจะมียี่ห้อไหนบ้างนั้น วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้เพื่อน ๆ แล้วค่ะ

ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี 5 ยี่ห้อดัง คุณภาพจัดเต็ม

สำหรับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ที่เราจะพานำมาแนะนำให้กับเพื่อน ๆ ในวันนี้ล้วนเป็น ยางรถยนต์ ชื่อดังและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นยางที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งจะมียางยี่ห้อไหน หรือเป็นยางรถยนต์แบรนด์ที่คุณกำลังใช้อยู่หรือไม่ เรารวบรวมมาให้แล้วดังนี้

  • Pirelli (พิเรลลี่) ผู้ผลิตยางรถยนต์ข้ามชาติของอิตาลี ที่ผลิตทั้งในส่วนยางสำหรับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และจักรยาน โดยเฉพาะในส่วนของยางรถยนต์ที่มีการพัฒนายางให้มีคุณสมบัติที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภททั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถสปอร์ต รถบรรทุกหรือแม้กระทั่งรถแข่ง โดยราคายางรถยนต์จากแบรนด์นี้มีราคาอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาท/เส้น และที่สำคัญยางทั้งหมดของ Pirelli ยังนำเข้าจากอเมริกา และยุโรป 100%  
ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี
  • Michelin (มิชลิน) บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ข้ามชาติของฝรั่งเศส ที่ผลิตยางสำหรับรถยนต์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์, จักรยานยนต์, รถแข่ง, รถบรรทุก, รถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro), เครื่องบิน, รถสำหรับการก่อสร้าง และสำหรับการเกษตร เป็นต้น และเมื่อมีการจัด อันดับยางรถยนต์ของโลก มิชลิน กลายเป็นอันดับ 1 ของโลกโดยไม่มีข้อสงสัย โดยราคาของยางรถยนต์จากมิชลินเริ่มต้นที่หลักพันบาทต่อเส้น 
ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี
  • Bridgestone (บริดจสโตน) แบรนด์ผู้ผลิตยางรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีบริษัทลูกในไทยถึง 7 บริษัทด้วยกัน จึงทำให้เราสามารถซื้อยางคุณภาพดีได้ในราคาที่ย่อมเยาลง โดยราคาจากบริดจสโตนอยู่ที่หลักพันบาทต่อเส้น ซึ่งใครที่กำลังมีคำถามว่า รถวิ่งน้อย เปลี่ยนยางยี่ห้อไหนดี ก็เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ยากแนะนำเป็นอย่างยิ่ง
  • Dunlop (ดันลอป) แบรนด์ยางรถยนต์ที่ต้องเติมลมเส้นแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นในปี 1888 เมื่อ 134 ปีก่อน โดย จอห์น บอยด์ ดันลอป (John Boyd Dunlop) เป็นนักประดิษฐ์และศัลยแพทย์สัตวแพทย์ชาวสก็อต ที่พัฒนายางชนิดเติมลมชิ้นแรกขึ้นที่ประเทศไอร์แลนด์ในที่ทำงานของเขา ดังนั้นหลายคนจึงบอกว่ายาง Dunlop เป็นยางรถยนต์สัญชาติไอร์แลนด์ ซึ่ง Dunlop เป็นยางรถที่มีฐานผลิตในไทยด้วย ดังนั้นยางจากแบรนด์นี้จึงมีทั้งคุณภาพที่ดีรวมไปถึงมีราคาที่ถูกมาก ๆ โดยราคายางที่แพงสุดอยู่ที่หลักหมื่นต้น ๆ ต่อเส้นเท่านั้น
  • Goodyear (กู๊ดเยียร์) ผู้ผลิตยางที่ผลิตตั้งแต่ยางรถยนต์ รถแข่ง ไปจนถึงยางเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดของโลก ก่อตั้งโดย มร.แฟรงค์ ไซเบอร์ลิ่ง ที่ปัจจุบันมีโรงงานผลิตมากถึง 57 แห่งใน 23 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงในประเทศไทย ดังนั้นยางจากแบรนด์นี้จึงมีราคาเริ่มต้นที่ค่อนข้างถูก เช่นเดียวกับอีก 3 แบรนด์ข้างต้นที่มีฐานผลิตในไทยเช่นเดียวกัน จุดเด่นของยางกู๊ดเยียร์ที่มีราคาถูกแล้ว ยังเป็นยางที่มีอายุการใช้งานที่นาน ช่วยเรื่องประหยัดน้ำมัน และหากเป็นรุ่นนำเข้าก็ยังมีราคาที่ถูกเพียงหลักพัน จึงทำให้หลายคนเลือกใช้ยางยี่ห้อนี้ 

ยางที่ดีควรได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน 

หลังจากที่เราไปดู ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ฉบับส่งท้ายปี 2023 กันแล้ว ล่าสุดหากใครที่ได้ติดตามข่าวก็คงจะได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นโกดังเก็บยางรถยนต์แห่งหนึ่ง และพบยางรถยนต์จำนวนมากประทับตรายี่ห้อ “Thaistone” ซึ่งเป็นยางที่ถูกผลิตขึ้นโดยไม่ได้มีใบอนุญาติ และไม่ได้รับรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ดังนั้นหากใครที่กำลังใช้ยางรถยนต์จากแบรนด์ดังกล่าวเราแนะนำให้ยุติการใช้งาน หรือรีบนำไปเปลี่ยนทันที

นอกจากนี้สำหรับ ใครที่อยากใช้ยางไทย หรืออยากทราบว่า ยางรถยนต์ไทยยี่ห้อไหนดี เราอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกับ Deestone ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางสัญชาติไทยที่ได้รับมาตรฐาน อีกทั้งยังมีการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้นใครที่สนใจอยากใช้ยางแบรนด์ไทย ยี่ห้อนี้ก็เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่เราอยากแนะนำค่ะ

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Giacomo Agostini นักแข่งมอเตอร์ไซค์ ระดับตำนานแชมป์โลก 15 สมัย

นักแข่งมอเตอร์ไซค์

หากจะกล่าวถึง นักแข่งมอเตอร์ไซค์ ระดับตำนาน หลายคนอาจจะนึกถึง Valentino Rossi แชมป์โลก 9 สมัย แต่จริง ๆ แล้วในวงการแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบมีนักบิดอีกหนึ่งคนที่บอกเลยว่าคนนี้คือ ที่สุดของตำนานวงการแข่งรถอีกหนึ่งคนเลยก็ว่าได้ เขาคนนั้นคือ Giacomo Agostini นักแข่งมอเตอร์ไซค์แชมป์โลก 15 สมัย และปัจจุบันเขายังเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจอีกหนึ่งคนของวงการกีฬาความเร็วอีกด้วย

ทำความรู้จักกับ Giacomo Agostini สุดยอด นักแข่งมอเตอร์ไซค์ 

นักแข่งมอเตอร์ไซค์

Giacomo Agostini เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1942 โดยเขาเติบโตขึ้นมาในเมือง Lovere ใกล้เมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี Agostini เป็นพี่ชายคนโตในบรรดาพี่น้อง 4 คน ซึ่งในปี 1964 เขาก็ได้รับข้อเสนอให้ไปเข้าร่วมทีม Morini (Moto Morini) ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นการเป็น นักแข่งมอเตอร์ไซค์ ของเขาอย่างเป็นทางการและย้ายไปสังกัดทีม MV Agusta ในปี 1965 ซึ่งปีนั้น Giacomo ในวัย 23 ปี ก็สามารถทุบสถิติของตัวเองมาได้ ด้วยการคว้าแชมป์โลกอันดับ 2 ในการแข่งขัน 350cc ครั้งแรกที่ Nürburgring สนามแข่งที่อันตรายที่สุดในโลกมาได้ในฐานะตัวสำรองให้กับ Mike Hailwood นักแข่งมอเตอร์ไซค์ อังกฤษ แชมป์โลก 9 สมัยผู้ล่วงลับ 

หลังจากนั้น Mike Hailwood ย้ายไปสังกัดทีม Honda ในปี 1966 Giacomo Agostini ก็กลายมาเป็นนักแข่งอันดับ 1 ของ MV Agusta และตอบสนองด้วยการคว้าแชมป์โลกอันดับ 1 ในรุ่น 500cc มาให้ทีมจนได้ ซึ่งครั้งนั้นก็นับว่าเป็นการแข่งขันในรายการ 500cc ครั้งแรกของเขาอีกด้วย และตั้งแต่ปี 1966 – 1974 เขาก็ยังคงสามารถคว้าแชมป์โลกทั้งจากรายการ 500cc และ 350cc รวมแล้วทั้งหมด 15 แชมป์โลกเลยทีเดียว ซึ่งจะเรียกว่าเป็น นักแข่ง MotoGP ที่เก่งที่สุดในโลก ก็คงไม่เกินจริงอย่างแน่นอน

Giacomo Agostini ตัดสินใจเกษียณหลังหันไปแข่ง F1 แล้วไม่เวิร์ค

Giacomo Agostini ถึงแม้ว่าเราจะเรียกเขาว่าเป็น นักแข่งมอเตอร์ไซค์ แต่จริง ๆ แล้วก่อนที่เขาจะตัดสินใจเกษียณในปี 1977 ระหว่างปี 1975 ในขณะที่ Giacomo Agostini ยังคงเข้าร่วมการแข่งมอเตอร์ไซค์ในรายการ 350 และ 500cc อยู่นั้น เขาก็ได้หันไปแข่งรถ Formula และ Formula One ด้วยเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความสุขกับมันเท่าที่ควรดังนั้นในปี 1980 เขาก็ตัดสินใจเกษียณจากการเป็น นักแข่งรถระดับโลก อย่างไรก็ตาม ในปี 1982 เขากลับสู่วงการแข่งรถในฐานะผู้จัดการทีม Yamaha จนสามารถและนำ Graeme Crosby นักแข่งชาวนิวซีแลนด์ไปสู่ตำแหน่งระดับโลกในทันที และปัจจุบันเขายังคงถูกเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายการ แข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ อยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมของ Yamaha เรียกได้ว่าเป็นนักแข่งตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่างแท้จริง

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Xiaomi มาแรงไม่หยุดหลังมีภาพหลุด Xiaomi MS11 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก

Xiaomi MS11

Xiaomi นับว่าเป็นแบรนด์เทคโนโลยีสัญชาติจีนที่ตลอด 4 – 5 ปีมานี้ สินค้าภายใต้แบรนด์ Xiaomi ค่อนข้างได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน แต่ล่าสุด Xiaomi ก็สามารถเรียกเสียงฮือฮาจากแฟน ๆ ได้เป็นอย่างมาก หลังมีภาพหลุดของ Xiaomi MS11 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ที่เราเชื่อว่า หากรถยนต์รุ่นนี้ถูกเปิดตัวออกมาเมื่อไรแบรนด์ก็คงไม่พลาดที่จะนำมาตีตลาดในไทยอย่างแน่นอน

Xiaomi MS11 โปรเจกต์ที่เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2021 

Xiaomi นับว่าเป็นโปรเจกต์คาร์ที่ Xiaomi มีความพยายามในการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2021 หลังจากที่ในปีเดียวกันนั้น Xiaomi ประกาศจัดตั้งบริษัทลูก Xiaomi EV, Inc. เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าตามแผนที่ประกาศไว้เมื่อต้นปี 2021 ในขณะเดียวกัน Xiaomi ยังได้ซื้อบริษัท Deepmotion Tech เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ และในปี 2021 ที่ผ่านมาทางบริษัท Xiaomi EV มีพนักงานแล้วกว่า 300 คนเลยทีเดียว

กระทั่งในปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ได้มีภาพของXiaomi MS11 Car หลุดออกมา โดยรถรุ่นนี้จะเป็นรถยนต์สไตล์สปอร์ตซีดาน ขนาดกลางแบบ Fastback 5 ประตู ที่มีดีไซน์ภายนอกค่อนข้างมีคล้ายคลึงกันกับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla อยู่พอสมควร โดยเฉพาะในส่วนของมือจับประตูรถที่มีดีไซน์เดียวกันกับ Tesla เลยก็ว่าได้ หรือนี่อาจจะเป็นหนึ่งแรงบันดาลใจหลังจากที่ Lei Jun ผู้ก่อตั้งและ CEO ของXiaomi ได้ร่วมพูดคุยกับ Elon Musk ก่อนที่จะหันมาทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง นอกจากนี้ในส่วนของระบบ หรือฟังก์ชันต่าง ๆ ของรถรุ่นนี้เราก็เชื่อว่าทางผู้ผลิตก็คงให้มาอย่างจัดเต็มแน่นอน และสิ่งที่น่าจับตามองอีกอย่างหนึ่งของXiaomi MS11 รุ่นนี้คือ “เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ” ที่จะทำออกมาได้ดี และมีเสถียรภาพขนาดไหน

รถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi ที่เตรียมจะเปิดตัวในปี 2024

สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าXiaomi MS11 คาดว่าจะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2024 ซึ่งจะวางขายในประเทศจีนเป็นประเทศแรก และดูเหมือนว่าXiaomi ที่เปิดตัวเพื่อท้าชนกับ Tesla เพราะตามที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าดีไซน์ของMS11 มีความใกล้เคียงกับรถของ Tesla เป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญคือดูเหมือนว่านอกจากทั้ง 2 แบรนด์จะแข่งกันในเรื่องดีไซน์แล้ว เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในรถของแต่ละแบรนด์ ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะสามารถดึงดูดลูกให้หันมาเลือกรถของพวกเขา ดังนั้นทั้ง 2 จึงอาจจะต้องงัดเอาเทคโนโลยีเด็ด ๆ มาใช้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ในส่วนของราคา เราคาดว่า รถยนต์ไฟฟ้าXiaomi MS11 รุ่นนี้น่าจะถูกวางหน่ายในราคาประมาณ 260,000-300,000 ยวน หรือราว ๆ 1,281,062 – 1,478,148 บาท

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Audi RS7 Legacy Edition รถสปอร์ตรุ่นพิเศษ ผลิตเพียง 200 คันทั่วโลก

Audi RS7 Legacy Edition

เมื่อไม่นานมานี้ ABT Sportsline ผู้นำด้านการปรับแต่งรถยนต์ของAudi และ VW Group นำเสนอรุ่นพิเศษ ABT RS6 Legacy Edition (LE) รถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สองทศวรรษของ Audi RS6 ซึ่งมีการผลิตออกมาเพียง 200 คัน และล่าสุด ABT Sportsline กลับมาอีกครั้งกับการเปิดตัว Audi RS7 Legacy Edition หรือ ABT RS7-LE ที่จะมีการผลิตออกมาเพียง 200 คัน และรถรุ่นดังกล่าวแน่นอนว่าต้องเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงตามมาตรฐานของ ABT Sportsline

Audi RS7 Legacy Edition รถที่ถูกพัฒนาให้มีกำลังถึง 760 แรงม้า

Audi RS7โฉมแรกถูกเปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2013 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของเจ้าAudi RS7 ABT Sportsline และAudi จึงได้เปิดตัวAudi RS7 Legacy Editionรถสปอร์ตรุ่นพิเศษของAudi ที่นอกจากจะมาพร้อมดีไซน์ที่เท่ และดุดันแล้ว ทาง ABT ยังได้พัฒนาในส่วนของสมรรถนะรถรุ่นดังกล่าวให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้นตามมาตรฐานของ ABT Sportsline โดยRS7 Legacy Editionมาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4 ลิตร Turbocharger ABT และอินเตอร์คูลเลอร์ ABT พร้อมเทคโนโลยี ABT POWER R ที่ให้กำลังสูงสุด 760 แรงม้า (559 กิโลวัตต์) ให้แรงบิดสูงสุด 980 นิวตันเมตร จากแต่เดิมมีกำลังสูงสุดเพียง 630 แรงม้า (hp) 463 กิโลวัตต์ อัตราเร่ง (0-100 กม./ชม.) ใน 3.1 วินาที 

ระบบกันสะเทือนของ ABT RS7-LE ได้รับการปรับให้เข้ากับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นด้วย ABT Coilover springs  และระบบกันโคลงแบบสปอร์ตของ ABT ที่เพลาหน้าและเพลาหลังช่วยให้ยึดเกาะถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดเวลา สปอยเลอร์หลังแบบ free-standing และให้ความรู้สึกสปอร์ตและพรีเมียมยิ่งขึ้นด้วยยาง Goodyear Eagle F1 Supersport 295/30 ZR22 และล้อมแม็ก ABT High Performance HR22 สีดำมันวาว ซึ่งความพิเศษของยางรุ่นนี้เป็นยางสมรรถนะสูงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสนามแข่ง จึงให้การควบคุมที่ดีเยี่ยมบนถนนแห้งและสมรรถนะที่สมดุลบนถนนเปียก

RS7 รุ่นพิเศษ คาดว่าจะมีราคาจำหน่ายที่ 114,800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าAudi RS7 Legacy Edition จะมีการผลิตออกมาเพียง 200 คันทั่วโลก ซึ่งราคาของรถรุ่นนี้คาดว่าจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 114,800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,993,892 บาท แต่หากมีการแต่งรถแบบ Full Option รถรุ่นนี้อาจจะมีราคาพุ่งไปถึง 278,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว และแน่นอนว่าราคานี้ยังไม่รวมภาษีนำเข้าไทย  นอกจากนี้สำหรับข้อมูลการเปิดจองยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นใครที่สนใจรถรุ่นนี้อาจจะต้องติดต่อสอบถามไปยังศูนย์บริการของAudi Thailand ว่าไทยได้รับโควตาหรือไม่ เพื่อให้คุณไม่พลาดการเป็นเจ้าของรถรุ่นพิเศษนี้

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Aston Martin Valour รถสปอร์ตรุ่นฉลองครอบรอย 110 ปี ของ Aston Martin

Aston Martin Valour

Aston Martin ผู้ผลิตรถยนต์หรู และสมรรถนะสูงสัญชาติอังกฤษ ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1913 ซึ่งปัจจุบันก็นับเป็นเวลากว่า 110 ปีแล้ว ที่ Aston Martin โลดแล่นอยู่บนอุตสาหกรรมยานยนต์และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของแบรนด์สำหรับปี 2023 นี้ Aston Martin จึงได้เปิดตัว Aston Martin Valour รถสปอร์ตที่ผสมผสานความเป็นเรโทรสไตล์ เข้ากับความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

Aston Martin Valour รถรุ่นแรกที่จับคู่ระหว่างเครื่องยนต์ V12 5.2 ลิตร กับเกียร์กระปุก

Aston Martin Valourเป็นรถยนต์รุ่นพิเศษที่เปิดตัวมาเพื่อฉลองอายุครบ 110 ปี ของแบรนด์ ดังนั้นรถรุ่นนี้ต้องเป็นอะไรที่พิเศษ และไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และอย่างที่เรากล่าวไปในข้างต้นแล้วว่ารถรุ่นนี้เป็นครั้งแรกที่ทางแบรนด์จับคู่ระหว่างเครื่องยนต์ V12 เข้าไว้กับระบบส่งกำลังแบบ Manual (เกียร์ธรรมดา) จนหลายคนเรียกมันว่าAston Martin ValourManual V12

โดยความน่าสนใจของAston Martin Valour เริ่มต้นจากหัวใจของรถอย่างเครื่องยนต์ที่มาจากสายเลือดสูงสุดของมอเตอร์สปอร์ตและผลิตด้วยมืออย่างพิถีพิถัน และด้วยเครื่องยนต์ V12 Twin-Turbocharged 5.2 ลิตร วางหน้า จึงทำให้รถรุ่นนี้มีกำลังสูงสุด 715 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 753 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 7,000 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบส่งกำลังธรรมดา 6 สปีด ซึ่งความเป็นตำนานของเครื่องยนต์ V12 จึงทำให้เสียงที่ได้ของValour เป็นธรรมชาติ ปราศจากการเสริมแต่งใด ๆ ช่วยให้เสียงเร่งเครื่องที่นุ่มนวลและเร้าใจผ่านช่วงความเร็วที่บริสุทธิ์ที่สุด

นอกจากนี้Aston Martin Valour ยังได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบที่เหนือกาลเวลาของรถแข่งAston Martin ในตำนานในยุค 70 โดยผสมผสาน DNA ของรถเข้ากับตัวถังฟูลคาร์บอนสุดล้ำสมัยแห่งอนาคต และการดีไซน์ที่โดดเด่นแล้วชาญฉลาดที่สุดของรถรุ่นนี้คือการดึงเอาไฟหน้าแบบกลมที่นิยมใช้กับรถยนต์ของAston Martin ในยุค 70s มาใช้ ประกอบกับล้ออัลลอยด์ลายรังผึ้งขนาด 21 นิ้ว ที่ได้ล้อที่เคยออกแบบให้กับAston Martin Valkyrie และ Victor พร้อมเบรกคาร์บอนเซรามิกช่วยประหยัดน้ำหนักใต้สปริงได้ 23 กก. ซึ่งนับว่าเป็นการผสมผสานของเรโทรสไตล์ เข้ากับความล้ำสมัยอย่างลงตัว

รถ Aston Martin รุ่น 110 ปี ผลิตจำกัด 110 คัน ขายหมดแล้ว

สำหรับAston Martin Valour รุ่นพิเศษที่เราพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกันในวันนี้ จะผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพียง 110 คันตามอายุของแบรนด์ โดยราคาอย่างเป็นทางการของ แอสตัน มาร์ติน รุ่นดังกล่าวไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา แต่เราคาดว่าน่าจะมีราคาอยู่ที่คันละประมาณ 1 ล้าน – 1.5 ล้าน เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34,080,000 – 51,120,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้า) และที่สำคัญรถทั้ง 110 คันล้วนมีเจ้าของหมดแล้วเรียบร้อย

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Ford Bronco กลับมาทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

Ford Bronco

เราเชื่อว่าหากกล่าวถึงรถกระบะยุคคุณปู่ Ford Bronco คงต้องติดหนึ่งในลิสต์รายชื่ออย่างแน่นอน โดยรถรุ่นนี้เปิดตัวออกมาครั้งแรกในรูปลักษณ์ของรถจี๊บ ก่อนที่จะปรับดีไซน์มาเลื่อย ๆ ให้มีความเป็นกระบะสายลุย ก่อนที่จะยุติการผลิตไปในช่วงปี 2000 ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงปี 2020 และสำหรับปี 2023 นี้ Ford Bronco กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการดึงเอาภาพลักษณ์ของการเป็นรถจี๊บ (SUV Off Road) ที่พร้อมลุยในทุกสถานการณ์มาใช้กับรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเต็มที่ และที่สำคัญเปิดตัวมาให้ถึง 9 โมเดลแบบจุก ๆ สนอง Need แฟน ๆ แบบเต็มที่

Ford Bronco เปิดตัวมาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังกำลัง 418 แรงม้า

สำหรับFord Bronco รุ่นปี 2023 เปิดตัว 4 รุ่นย่อย คือแบบ 2 ประตู, 4 ประตู, Everglades (4 ประตู)และ Raptor (4 ประตู) โดยFord Bronco 2023 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 L EcoBoost, 2.7L EcoBoost V6 และ 3.0L EcoBoost V6 โดยFord Bronco รุ่นที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.3L EcoBoost 4 สูบ ที่ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 325 ฟุต-ปอนด์ ที่ 3,400 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อนแบบ 4X4 ระบบส่งกำลัง 7-Speed Manual / 10-Speed Automatic 

เครื่องยนต์เบนซิน 2.7L EcoBoost V6 ที่ให้กำลังแรงม้าสูงสุด 330 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 415 ฟุต-ปอนด์ ที่ 3,100 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อนแบบ 4X4 ระบบส่งกำลัง 10-Speed Automatic และเครื่องยนต์รุ่นสุดท้ายคือ 3.0L EcoBoost V6 ที่ให้กำลังสูงสุด 418 แรงม้า ที่ 5,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 ฟุต-ปอนด์ ที่ 2,750 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อนแบบ 4X4 ระบบส่งกำลัง 10-Speed Automatic พร้อมท่อไอเสียเดี่ยว พร้อมเทคโนโลยีแอคทีฟวาล์ว

New Ford Broncoรุ่น 2 ประตูจะเป็นแบบ 4 ที่นั่ง ความยาว 173.7 นิ้ว ความสูง 71.9 นิ้ว ความกว้างรถรวมกระจก 86.2 นิ้ว และระยะฐานล้อ 100.4 นิ้ว รุ่น 4 ประตูจะเป็นแบบ 5 ที่นั่ง ความยาว 189.4 นิ้ว ความสูง 73 นิ้ว ความกว้างรถรวมกระจก 86.2 นิ้ว และระยะฐานล้อ 116.1 นิ้ว รุ่น Everglades 4 ประตู ความยาว 198.9 นิ้ว ความสูง 78.7 นิ้ว ความกว้างรถรวมกระจก 86.2 นิ้ว และระยะฐานล้อ 116.1 นิ้ว และสำหรับรุ่นสุดท้ายคือFord Bronco Raptor 2023 แบบ 4 ประตู ซึ่งนับว่าเป็นรุ่นที่ใหญ่ที่สุดของBronco เลยก็ว่าได้ โดยเป็นรุ่นที่มาพร้อมความยาว 191 นิ้ว ความสูง 77.8 นิ้ว ความกว้างรถรวมกระจก 86.9 นิ้ว และระยะฐานล้อ 116.5 นิ้ว

รถFord Bronco ราคา เริ่มต้น 34,890 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่เข้าไทย!

สำหรับใครที่กำลังรอคอย หรือสงสัยว่าFord Bronco เข้าไทยไหม เราต้องขอแจ้งข่าวร้ายกับคนที่กำลังรอรถรุ่นนี้ไว้เลยว่าFord Bronco ไม่ถูกนำเข้าไทย ดังนั้นใครที่อยากได้รถรุ่นนี้อาจจะต้องรอผู้นำเข้าอิสระว่าจะมีใครที่จะนำเข้ามาหรือไม่ และในส่วนของราคา โดยรถรุ่นนี้มีทั้งหมด 9 โมเดลด้วยกัน โดยแต่ละโมเดลก็จะมีการตกแต่งที่แตกต่างกัน 

โดยโมเดลเริ่มต้นอย่าง Bronco Base เริ่มต้นที่ $34,890, Bronco Big Bend ราคาเริ่มต้น $38,880, Bronco Black Diamond ราคาเริ่มต้น $41,250, Bronco Outer Banks ราคาเริ่มต้น $46,350, Bronco Badlands ราคาเริ่มต้น $47,395, Bronco Heritage ราคาเริ่มต้น $46,605, Bronco Wildtrak ราคาเริ่มต้น $58,025, Bronco Heritage Limited ราคาเริ่มต้น $69,195 และ Bronco Raptor ราคาเริ่มต้น $86,080 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : HTTPS://SA-GAME.BET/

Categories
Content

Mercedes เปิดตัว new Vision One-Eleven คอนเซปต์คาร์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก C111

new Vision One-Eleven

หากย้อนไปเมื่อปี 1960 – 1970 Mercedes Benz ได้เปิดตัวรถสปอร์ตดีไซน์ล้ำสมัยภายใต้ชื่อรุ่นว่า C111 (One – Eleven) ซึ่งเป็นคอนเซปต์คาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยที่สุดของยุคนั้นเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้น C111 ก็ไม่เคยจะถูกผลิตออกมาจำหน่ายจริงด้วยเหตุผลด้านความไม่คุ้มทุน ดังนั้นในปี 2023 นี้ Mercedes ตัดสินใจนำเอารถยนต์แห่งอนาคตมาสร้างขึ้นภายใต้ชื่อ new Vision One-Eleven ซึ่งเป็นคอนเซปต์คาร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก C111 นั่นเอง

มาทำความรู้จักกับ Mercedes C111 รถที่เป็นต้นแบบของ new Vision One-Eleven

ตามที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าnew Vision One-Eleven เป็นคอนเซปต์คาร์ที่ Mercedes – Benz ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Mercedes c111 ดังนั้นวันนี้ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับnew Vision One-Eleven คันนี้เราอยากพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ c111 คอนเซปต์คาร์ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปี 1960 

โดย C111 เวอร์ชันแรกสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1969 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Wankel แบบหัวฉีด 3 โรเตอร์ วางกลาง ต่อมาในปี 1970 ได้มีการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก 3 เป็น 4 โรเตอร์ ที่ให้กำลังสูงสุด 257 กิโลวัตต์ (350 แรงม้า) อีกทั้งยังมีการบันทึกสถิติว่า รถสามารถทำความเร็วได้ถึง 300 กม./ชม. (186 ไมล์/ชม.) เลยทีเดียว หลังจากนั้นทางผู้พัฒนาก็ได้มีการพัฒนารถเวอร์ชันใหม่ออกมาเรื่อย ๆ กระทั่งทางทีมมั่นใจแล้วว่ารถรุ่นนี้จะสามารถผลิตออกสู่ท้องตลาดได้ จึงทำการเปิดตัว C111 รหัส C112 ภายในงาน Frankfurt Motor Show ของปี 1991 ในฐานะของรถสปอร์ตที่พร้อมผลิตแล้ว โดย C112 ใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตรวางกลาง และหลังจากที่เปิดตัวในงานนี้ C112 ก็มียอดจองสูงถึง 700 คัน แต่ถึงอย่างนั้นผู้ผลิตก็ตัดสินใจไม่ไปต่อ เพราะคาดว่าน่าจะไม่คุ้มทุนหากมีการผลิตและจำหน่ายจริง ดังนั้นทาง Mercedes จึงตัดสินใจคืนเงินจองให้กับลูกค้าทั้งหมด

Vision One-Eleven สุดยอด Iconic Luxury แห่งอนาคต

new Vision One-Elevenคือที่สุดแห่งชิ้นงานการออกแบบที่เหมือนเป็นการหยิบยกเอา C111 มาออกแบบและพัฒนาต่อ โดย Mercedes-Benz Vision One-Elevenเป็นรถสปอร์ตที่รวมเอาทั้งนวัตกรรมที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีขั้นสูงและความสะดวกสบายที่หรูหราเข้าด้วยกันอย่างลงตัว จึงเปลี่ยนทุกการเดินทางของคุณให้เป็นประสบการณ์ที่น่าดึงดูดใจและเป็นส่วนตัว โดยVision One-Elevenมาพร้อมประตูปีกนก (flush-fitted gullwing doors) ภายในตกแต่งด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยด้วยหน้าจอแสดงผลพิกเซลยาวตลอดคอนโซลหน้า ขอบจอตกแต่งด้วยแถบไฟตามคอนเซปต์ของVision One-Elevenตัวถังถูกเป็นแบบ one-bow design ที่มีความโค้งมนซึ่งเป็นรูปแบบและฟังก์ชันผสานกันอย่างลงตัว อีกทั้งยังเป็นเหมือนชิ้นงานศิลปะแห่งการออกแบบยานยนต์เลยก็ว่าได้

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : HTTPS://SA-GAME.BET/

Categories
Content

Lando Norris นักแข่ง F1 McLaren ดาวรุ่งวัย 23 ปี ผู้คว้าโพเดียมแรกให้กับทีม

นักแข่ง F1 McLaren

McLaren ผู้ผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงสัญชาติอังกฤษเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์มีทีมแข่งในรายการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการต่าง ๆ เป็นของตัวเอง และ Formula One ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นักแข่ง F1 McLaren ก็สร้างความฮือฮาให้กับแฟน ๆ อีกครั้งหลังจากที่ Lando Norris นักแข่งวัย 23 ปี สามารถความโพเดียมมาจากการแข่ง Formula 1 Aramco British Grand Prix 2023 มาได้ในที่สุด

ประวัติ Lando Norris นักแข่ง F1 McLaren ที่ลงแข่ง F1 ครั้งแรกในวัย 19 ปี 

Lando Norris เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1999 ปัจจุบันเขาเป็น นักแข่ง F1 McLaren ชาวอังกฤษ (British) มีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น (แม้ปลายปีนี้จะ 24 ปีแล้วก็ตาม) แต่ต้องบอกเลยว่าเพียงไม่กี่ปีที่เขาก้าวเข้าสู่การเป็นนักแข่ง F1 เขาก็สามารถสร้างชื่อเสียง และเรื่องราวที่น่าประทับในให้แฟน ๆ ได้พูดถึงอย่างมากมาย 

โดย Lando เดบิวต์เข้าสู่การเป็น นักแข่ง F1 ด้วยวัยเพียง 19 ปี หลายคนยังบอกว่า Lando เป็นนักแข่งรถที่มีพรสวรรค์ และเขายังฉายแววความเก่งของเขาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะในปี 2012 ในการแข่งขันระดับ National Meeting Lando ถือว่าเป็น “นักขับที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับตำแหน่งโพลโพสิชัน” รวมไปถึงการคว้าแชมป์ Formula Kart Stars และรองชนะเลิศในรายการ MSA Super One British Championship จากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมา (ปี 2013) เขาคว้าแชมป์ในการแข่งขัน 5 รายการรวดทั้ง CIK-FIA KFJ European, CIK-FIA KFJ Super Cup, WSK Euro Series KFJ, CIK-FIA International Super Cup และ World Karting Championship

นอกจากนี้เขายังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้ชนะการแข่งขันรถโกคาร์ทชิงแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุด โดยคว้าแชมป์ CIK-FIA KF World Championship เมื่ออายุได้ 14 ปี ซึ่งเป็นรางวัลที่ลูอิส แฮมิลตัน (Sir Lewis Carl Davidson Hamilton) นักแข่ง F1 Mercedes แชมป์โลก 7 สมัยเคยได้รับมาก่อน และในปี 2016 เขายังชนะการแข่งขัน Single-Seater Championships หลายรายการรวมไปถึงการคว้ารางวัล McLaren Autosport BRDC Young Driver Award ที่งาน Autosport Awards ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกันนั้น

ในปี 2018 ขณะที่เขายังเป็นนักแข่ง F2 ก็ได้มีข่าวออกมาว่า Lando Norris จะได้ร่วมเซ็นสัญญาร่วมกับ Carlos Sainz ที่ McLaren ซึ่งปัจจุบัน Carlos Sainz เป็น นักแข่ง F1 Ferrari จากนั้นหลังวันเกิดปีที่ 19 เขาก็จบฤดูกาลในอาบูดาบีด้วยการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศใน F2 มาได้ในที่สุด และในปี 2019 Lando ในวัยเพียง 19 ปี ก็ได้เดบิวต์เพื่อการเป็นนักแข่ง Formula One ซึ่งเขาสามารถทำคะแนนได้ดีชนะ Carlos Sainz เพื่อนร่วมทีมที่มีประสบการณ์มากกว่าในการแข่งขันตัวต่อตัวรอบคัดเลือก แล้วเหตุผลอะไรที่ McLaren จะปล่อยนักแข่งฝีมือดีคนนี้ไป

การคว้าโพเดียมแรกในปี 2020 ของ Lando Norris ที่ Austrian Grand Prix 2020 

หลังจากที่ Lando Norris ก้าวเข้าสู่การเป็นนักแข่ง F1 McLaren อย่างเต็มตัว ในปี 2020 เขาก็โชว์ลีลาและฝีมือที่แพรวพราวในการแข่งขัน Austrian Grand Prix 2020 จนสามารถคว้าโพเดียมอันดับที่ 3 มาได้ในที่สุด ตามด้วยโพเดียมอันดับ 2 ที่ 2021 Italian Grand Prix และในการแข่งขัน Formula One ปีเดียวกันนั้นเขาก็สามารถความโพเดียมอันดับที่ 3 มาได้อีก 3 รายการด้วยกัน ทั้งใน Emilia Romagna Grand Prix, Monaco Grand Prix และ Austrian Grand Prix 

นอกจากนี้ในปี 2022 Emilia Romagna Grand prix Lando Norris ก็สามารถความโพเดียมมาให้กับ McLaren F1 Team และสำหรับปีนี้การแข่งขันเดินทางมาถึงสนามที่ 10 หรือครึ่งหนึ่งการแข่งปี 2023 แล้ว Lando ยังฟอร์มดีไม่ตกจนทำให้เขาสามารถคว้าโพเดียมอันดับ 2 ในการแข่งขัน British Grand Prix 2023 มาได้ในที่สุด ซึ่ง 4 ปีในการแข่งขันในระดับ F1 Lando มีคะแนนสะสมมาแล้ว 470 คะแนน 7 โพเดียม และตำแหน่ง กริดสูงสุดคือที่ 1 เรียกได้ว่าเป็นนักแข่งอายุน้อยที่น่าจับตามองที่สุดในชั่วโมงนี้

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : HTTPS://SA-GAME.BET/

Categories
Content

Yuki Tsunoda นักแข่ง F1 ที่เกือบอายุน้อยที่สุดในการแข่ง F1 2023

นักแข่ง F1

สำหรับคนที่จะเป็น นักแข่ง F1 ได้นั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นนักแข่งรถล้อเปิดที่มีผลงานในระดับดีเยี่ยม จนเข้าตาบรรดาทีมแข่ง, สปอนเซอร์ หรือผู้สนับสนุน จนดึงตัวเข้าไปเป็นนักแข่งของทีมนั้น ๆ และนักแข่ง F1 ส่วนใหญ่มักจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 20 ปีต้น ๆ และ Yuki Tsunoda นักแข่ง F1 ชาวญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น  ซึ่งปัจจุบันมีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น และแน่นอนว่าฝีมือในการแข่งขันในรายการต่าง ๆ ก่อนที่จะมาเป็นนักแข่ง F1 ต้องดีจนเข้าตากรรมการจนทำให้เขาได้มาร่วมทีมกับ Scuderia AlphaTauri ในที่สุด

ประวัติ Yuki Tsunoda นักแข่ง F1 ชาวญี่ปุ่น ที่มีอายุน้อยเพียง 23 ปี

Yuki Tsunoda (ยูกิ สึโนดะ) เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2000 นักแข่งF1 ชาวญี่ปุ่น ภายใต้สังกัดทีม Scuderia AlphaTauri ที่พึ่งก้าวเข้าสู่วงการ Formula One เพียง 2 ปีเท่านั้น และปัจจุบันเขามีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่าเขาก้าวสู่การเป็นนักแข่งF1 ในวัยเพียง 21 ปี แต่อายุไม่ใช่อุปสรรค เพราะก่อนที่เขาจะถูกดึงตัวเข้ามาร่วมทีมนั้น ฝีมือในการแข่งของเขาแพรวพราวเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ Yuki ในวัย 20 ต้น ๆ กลายมาเป็นหนึ่งใน นักแข่งF1 อายุน้อย ในที่สุด

นักแข่ง F1

Yuki นับว่าเป็น นักแข่งรถ ที่มีประวัติน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเขาเริ่มต้นการเป็นนักแข่งอาชีพในปี 2016 จากการแข่งขัน Japanese F4 championship ที่ Suzuka โดยรวมในซีรีส์นั้นเขาชนะการแข่งขันทั้งหมด 10 รายการ และจบการแข่งขันบนโพเดียม 18 ครั้ง มีตำแหน่งโพลโพสิชั่น 12 ครั้ง และรอบที่เร็วที่สุด 5 รอบ ต่อมาในฤดูกาล 2018 เพียงฤดูกาลเดียว อีกทั้งเขาสามารถคว้าแชมป์ได้ 7 ครั้ง และหลังจากที่คว้าแชมป์นั้นมาได้  Yuki ก็ได้เข้าร่วมทีม Red Bull Junior และโครงการ Honda Formula Dream เพื่อขับในซีรีส์ New FIA F3     (ซีรีส์ฟีดเดอร์ที่มาแทนที่ซีรีส์ GP3) ในปี 2019 

ต่อมาในปี 2020 เขาได้ลงแข่งในระดับ F2 และสามารถนำชัยชนะมาได้จากหลายสนามทั้ง เบลเยียม บาห์เรน และที่ UK’s 70th Anniversary Grand Prix ควบคู่ไปกับการจบบนโพเดียมจนเป็นที่ชินตาของแฟน ๆ ทำให้ในปีนั้น Yuki สามารถคว้ารางวัล Rookie of the Year ในที่สุด ด้วยลีลาในการแข่งที่น่าตื่นเต้น บวกกับฝีมือที่ยอดเยี่ยมของเขา จึงทำให้ในปี 2021 Yuki Tsunoda ได้มาร่วมทีมกับ Pierre Gasly นักแข่งรถชาวฝรั่งเศสในที่สุด 

Yuki Tsunoda บนการแข่ง Formula One

สำหรับเส้นทางการแข่งขัน Formula One เป็นเวลากว่า 2 ปี ของนักแข่ง F1 Yuki Tsunoda ยังนับว่าเป็นอะไรที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะเพียงแค่ 2 ฤดูกาลเขามีคะแนนสะสมอยู่ที่ 46 คะแนน 54 Grands Prix ตำแหน่งกริดสูงสุดคือตำแหน่งที่ 7 ซึ่งสำหรับการเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักแข่งอาชีพด้วยอายุเพียงเท่านี้ แต่สามารถโชว์ฟอร์มออกมาได้ดีขนาดนี้ เราเชื่อว่าเส้นทางการเป็นแชมป์โลกอยู่ไม่ไกลแน่นอน

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : HTTPS://SA-GAME.BET/

Categories
Content

Ferrari บนหน้าประวัติศาสตร์การแข่ง 24 Hours of Le Mans

Ferrari

Ferrari แบรนด์รถซุปเปอร์คาร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีประวัติยาวนานกว่า 76 ปี ซึ่งตั้งแต่การก่อตั้งบริษัททาง Ferrari ก็ได้มีการพัฒนารถแข่งเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ และระดับโลกหลายรายการ รวมไปถึง24 Hours of Le Mans รายการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่มีผู้ผลิตรถยนต์แข่ง และซุเปอร์คาร์ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปย้อนดู Ferrari บนหน้าประวัติศาสตร์การแข่ง 24 Hours of Le Mans 

Ferrari กับชัยชนะ 9 ครั้งบนสังเวียน 24 Hours of Le Mans

24 Hours of Le Mans การแข่งขันรถยนต์ที่อึด ถึก ทน ที่สุดอีกรายการหนึ่งที่ โดยรายการแข่งขันดังกล่าวจัดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกในปี 1923 และปีนี้ก็มีอายุครบ 100 ปีแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตลอดตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก และFerrari ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทผู้ผลิตรถที่ส่งทีมและรถของพวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันตลอดหลายปีตั้งแต่มีการก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 1947

การแข่งขัน Le mans 24 ไม่เพียงแค่เป็นการแข่งขันความเร็วเท่านั้น แต่การแข่งขันดังกล่าวยังเป็นการแข่งขันที่วัดความอดทน สมรรถนะของรถ ความกล้าหาญ และความสามารถในการขับขี่ของนักแข่ง ดังนั้นการที่ เฟอร์รารี่ ส่งรถและนักแข่งเข้าร่วมการแข่งขันนั้น จึงเป็นเหมือนการพิสูจน์ตัวเองว่าFerrariจะสามารถก้าวมาอยู่แถวหน้าของวงการแข่งรถ และอุตสาหกรรมยานยนต์ได้

Ferrariส่งรถแข่งเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกในปี 1949 หรืออีก 2 ปีหลังจากก่อตั้งบริษัท โดยครั้งนั้นการแข่งขันจัดขึ้นที่สนามแข่ง Sarthe Circuit และเป็นการแข่งขันที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และในครั้งนั้นก็เป็นFerrari ที่สามารถคว้าชัยชนะมาได้ด้วยรถFerrari 166 MM ที่ถูกขับโดย L. Chinetti และ Lord Selsdon นักแข่งชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ และหลังจากนั้นFerrari ก็สามารถคว้าอันดับ 1 มาได้ทั้งหมด 9 ครั้ง และ 29 Class Wins 

Ferrariบน 24 Hours of Le Mans 2023 กับการคว้าอันดับโพลครั้งแรกในรอบ 50 ปี 

หลังจากที่Ferrari ความอันดับหนึ่งครั้งสุดท้ายไปตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 58 ปีมาแล้ว ที่Ferrari ไม่ได้แตะอันดับ 1 แต่สำหรับปี 2023 นี้นับเป็นสัญญาณที่ดี และสามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ และทีมของเขาได้อีกครั้งหลังจากเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2023 Antonio Fuoco นักแข่งของFerrari สามารถควบเจ้าม้าลำพองอย่างFerrari 499Ps ซึ่ง Antonio Fuoco ทำคะแนนได้เร็วที่สุด นำหน้าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Alessandro Pier Guidi ด้วยเวลา 0.773 ดังนั้นในวันที่ 10 นี้ รถของFerrari ทั้ง 2 คันจึงจะได้ซึ่งจะออกตัวในการแข่งขัน endurance race ในอันดับ 1 และ 2 ของตำแหน่ง hyperpole ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่Ferrari สามารถความอันดับโพลมาได้หลังจากที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในปี 1973 โดย Arturo Merzario และ Carlos Pace แข่งรถจากอิตาลี และนักแข่งชาวบราซิลด้วยรถแข่งFerrari 312 PB อันเรื่องชื่อ

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : HTTPS://SA-GAME.BET/