Categories
Content

รถยนต์มือ 2 ทางเลือกสำหรับคนอยากมีรถ

รถยนต์มือ 2

แน่นอนว่าการมีรถยนต์เป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายๆ คน เพราะจะได้มีรถไว้ใช้ไปยังสถานที่ต่างๆ อำนวยความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม แต่กระนั้นการที่จะซื้อรถมือ 1 เลย ก็มีราคาหลายบาทมาก ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะมองหา รถยนต์มือ 2 เพื่อตอบโจทย์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งทางเลือกสำหรับการซื้อรถยนต์มือสองก็มีอยู่หลายแบบด้วยกัน 

เลือก รถยนต์มือ 2 ตามความชอบ

แน่นอนว่าการเลือกรถยนต์มือ 2 อันดับแรกเลยคือต้องเลือกตามความต้องการของตัวเอง นั่นแปลว่าผู้ขับขี่จะต้องมีรถยนต์และปีที่ผลิตอยู่ภายในใจเสียก่อน จากนั้นก็พยายามมองหาจุดขายรถที่น่าเชื่อถือและมีรถยนต์ที่เราต้องการ เพราะการที่ได้เลือกรถยนต์ที่ตัวเองต้องการนั้นจะมีความสุขมากกว่าเวลาที่ขับขี่ไปยังสถานที่ต่างๆ 

รถยนต์มือ 2

เลือกให้ตรงกับลักษณะการใช้งาน 

ข้อผิดพลาดของใครหลายคนในการเลือกซื้อรถยนต์มือ 2 ส่วนมากมักจะซื้อตามคำบอกเล่าของคนใกล้ตัวหรือเพื่อนฝูงมากกว่าซื้อมาให้ตรงกับลักษณะการใช้งาน อย่างเช่นหากผู้ขับขี่ ต้องทำการค้าขายไปยังสถานที่ต่างๆ รถกระบะ หรือ รถแนว SUV ดูจะตอบโจทย์มากกว่า หรือหากใช้ขับขี่ไปทำงานตามปกติ รถยนต์ทั่วไปดูจะเหมาะสมมากกว่า ดังนั้นข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องตระหนักถึง 

การดูแลสถาพรถยนต์มือ

ปัญหาอย่างแรกสำหรับรถยนต์มือ 2 นั่นคือการที่รถนั้นผ่านการใช้งานมาแล้ว ซึ่งผู้ขับขี่ที่ซื้อมาต่อจากนั้น ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ารถคันนั้นผ่านอะไรมาบาง แต่เมื่อได้มาแล้วก็ทำการดูแลรักษาสภาพของรถยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานให้มากที่สุด โดยวิธีการดูแลรถยนต์มือ 2 มีดังนี้ 

1. ตรวจเช็คระยะทาง 

2. ตรวจเช็คสภาพรถและเครื่องยนต์

3. ดูแลระบบเบรกให้พร้อมใช้งานเสมอ

4. ดูแลอะไหล่ต่างๆ ให้พร้อมอยู่เสมอ 

5. เช็คระบบการทำงานของอุปกรณ์ต่างให้พร้อม

ตรวจสอบสภาพรถเพื่อความปลอดภัย

แน่นอนว่าคำถามต่อมาสำหรับคนที่อยากจะซื้อรถยนต์มือ 2 นั่นคือเรื่องของความปลอดภัย เพราะรถยนต์แต่ละคันนั้นผ่านการใช้งานมาแตกต่างกัน บางคนอาจจะใช้อย่างทนุถนอม บางคนอาจจะใช้แบบสมบุกสมบันตะลุยอย่างไม่ยั้ง ทีนี้วิธีการดูว่ารถที่เราซื้อมานั้นปลอดภัยแค่ไหน ให้ดูตามส่วนต่างๆ ดังนี้ 

1. ตรวจสอบระบบเบรกก่อนใช้งาน

2. ตรวจสอบเครื่องยนต์

3. ตรวจสอบอุปกรณ์การทำงานต่างภายในรถ 

4. ตรวจสอบถุงลมนิรภัย

5. ตรวจสอบระบบการทำงานต่างๆ ภายในตัวรถ 

6. ตรวจสอบคู่มือรวมถึงฟังก์ชั้นต่างๆ ว่าพร้อมใช้งานหรือไม่ 

เป็นมิตรบนท้องถนน

รถยนต์มือ 2 ชื่อก็บบอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่รถยนต์มือ 1  ดังนั้นการทำงานนั้นก็ไม่อาจจะ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรถยนต์มือ 1 ที่สภาพสวยงาม ดังนั้นก่อนที่จะเลือกใช้รถยนต์มือ 2 จะต้องตรวจสอบให้ทุกอย่างนั้นพร้อมใช้งานและอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานให้มากที่สุด ตรงจุดไหนที่สมควรเปลี่ยนก็ควรที่จะเปลี่ยน เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน และความปลอดภัยของผู้ขับขี่รายอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน 

ความคุ้มค่าเมื่อซื้อรถยนต์มือ

คำถามที่หลายๆ คนชอบถามว่า ซื้อรถยนต์มือ 2 คุ้มค่าแค่ไหน แน่นอนว่า เมื่อเทียบรถยนต์มือ 1 ก็คุ้มว่าในเรื่องของราคา, สามารถเลือกรถที่ต้องการได้ แต่ก็ต้องแลกมากับการที่รถยนต์คันนั้นผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ถ้าหากผู้ขับขี่ ทำการบ้านมาก่อนเป็นอย่างดี เลือกหาจุดขายรถที่ไว้ใจได้ และได้รถที่ตัวเองนั้นต้องการ ก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เทียบได้กับการซื้อรถยนต์มือ 1 คันใหม่เลยทีเดียว แต่ถ้าหากเจอร้านที่ไม่ดีหรือมัวแต่ฟังคนอื่น รับรองได้เลยว่าไม่คุ้มอย่างแน่นอน 

รถยนต์มือ 1 และรถยนต์มือ2 แตกต่างกันอย่างไร 

แน่นอนว่าความแตกต่างระหว่างรถยนต์มือ 1 กับ รถยนต์มือ2 นั้น มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ในหลายๆ ปัจจัย ซึ่งความแตกต่างที่เห็นเด่นชัดได้มากที่สุดประกอบไปด้วย

1. ราคา

2. สภาพการใช้งาน 

3. ความเสื่อมของตัวรถ 

4. การเสื่อมสภาพของเครื่องยนต์

5. ประวัติของรถยนต์ที่ต่างกัน 

6. ความเสื่อมของระบบต่างๆ ภายในรถยนต์ 

บทสรุปส่งท้าย 

รถยนต์มือ2 ถือว่าเป็นทางออกทางหนึ่งสำหรับคนที่อยากจะมีรถยนต์ แต่งบน้อย หรืองบไม่ถึงที่จะซื้อรถยนต์มือ 1 ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องหาจุดขายรถที่น่าเชื่อถือได้ และหารถที่มีสภาพพร้อมใช้งาน ไม่ช้ำมากจนเกินไป รวมถึงต้องตรวจสอบประวัติรถยนต์ที่เราซื้อมาด้วยว่าเคยเกิดอุบัติเหตุอะไรมาหรือเปล่า ถ้าหากผู้ขับขี่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี บางทีอาจจะได้ขุมทรัพย์ที่คุ้มค่ากว่าการซื้อรถยนต์มือ 1 อย่างแน่นอน 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
Content

ตอบโจทย์ผู้ใช้รถ EV จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน นำไปสู่ความสะดวกสบายในการเดินทาง

จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าได้พัฒนา และเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมยานยนต์ให้เจริญเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น โดยทำให้การขับขี่มีความปลอดภัย สะดวกสบายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ต้องใช้น้ำมัน ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่สูง ส่วน ราคาชาร์จรถไฟฟ้า ก็ไม่แพงเหมือนกับการเติมน้ำมัน นอกจากนี้การ ชาร์จรถไฟฟ้า ที่ จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน เพียงครั้งเดียวยังทำให้รถเดินทางไกลได้หลายร้อยกิโลเมตร ถือว่ามีประสิทธิภาพในการเดินทางไม่แตกต่างจากรถที่ใช้ระบบน้ำมันเลยแม้แต่น้อย 

การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้คนในยุคนี้ไปแล้ว เพราะไม่เสื่อมสภาพเร็ว ไม่มีค่าบำรุงรักษาที่สูง นอกจากนี้ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลและองค์กรต่างๆจึงได้ทำการพัฒนาเครือข่ายการชาร์จและเพิ่มจุด ชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน รวมไปถึงจุด ชาร์จรถไฟฟ้าฟรี เพื่อให้บริการกับผู้คนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้คนสามารถ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ชาร์จไฟได้สะดวกยิ่งขึ้น

จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน

เครือข่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน มีอยู่เกือบทุกที่ ทั้งในต่างประเทศและในไทย 

จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากความนิยมของผู้คน และประโยชน์ในการขับขี่ ดังนั้นเครือข่ายจุด ชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน จึงถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของจุดชาร์จก็ถือเป็นส่วนสำคัญของการเดินทาง เพราะทำให้การเดินทางมีความต่อเนื่อง ไม่เกิดปัญหา นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของจุด ชาร์จรถไฟฟ้า ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ เพราะถ้าไม่มีจุดชาร์จที่กว้างขวาง ผู้ขับขี่อาจจะต้องเผชิญกับความวิตกกังวลในระหว่างการเดินทาง ดังนั้นการมีอยู่ของจุด ชาร์จรถไฟฟ้าฟรี จึงแก้ปัญหาในจุดนี้ และช่วยขจัดความกังวลให้กับผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี 

มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ EV ไปไหนมาไหนก็สะดวก 

การมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าใกล้ตำแหน่งของคุณ จะทำให้คุณทดสอบการชาร์จไฟฟ้าได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางไปไกลไปหลายกิโล เพียงแค่เข้ามาที่จุด ชาร์จรถไฟฟ้า ใกล้บ้าน ก็ชาร์จไฟและทำเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด นอกจากนี้คนที่ไม่มีเวลายังสามารถชาร์จไฟแล้วตรวจสถานะจุดชาร์จกับแบตเตอรี่ผ่านทางมือถือได้อย่างสะดวก และยิ่งในอนาคตหากมีการพัฒนารถไฟฟ้าไม่ต้องชาร์จ ยิ่งจะทำให้การเดินทางมีความต่อเนื่อง และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 

จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน

อัตราค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ EV

ราคาชาร์จรถไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่ตำแหน่ง ประเภทเครื่องชาร์จที่ใช้ และผู้ให้บริการไฟฟ้า สำหรับความเร็วในการชาร์จ และประเภทของการชาร์จ มีดังนี้ 

  • เครื่องชาร์จระดับ 1: เป็นปลั๊กไฟมาตรฐานสำหรับใช้ในครัวเรือน 120 โวลต์ เป็นวิธี ชาร์จรถไฟฟ้าฟรี ช้าที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ธรรมดาและสะดวกที่สุดสำหรับการชาร์จข้ามคืนที่บ้าน
  • เครื่องชาร์จระดับ 2: โดยทั่วไปจะมีไฟ 240 โวลต์ ซึ่งชาร์จรถยนต์ได้เร็วกว่าเครื่องชาร์จระดับ 1 มาก มักพบในสถานี ชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน แบบสาธารณะ แต่ก็สามารถติดตั้งที่บ้านได้

การบำรุงดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน 

การดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ค่อนข้างดูแลง่าย โดยประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้ารวมถึง รถไฟฟ้าไม่ต้องชาร์จ มีดังนี้

  1. ควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20% ถึง 80% เพื่อยืดอายุการใช้งาน
  2. หลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่สูงเกินไปอย่างสม่ำเสมอ หากเป็นไปได้ ให้จอดรถ EV ไว้ในที่ร่มหรือในโรงรถ
  3. ตรวจสอบสายชาร์จ และขั้วต่อตามคำแนะนำเป็นประจำ เพื่อดูการสึกหรอหรือความเสียหาย
  4. อัปเดตซอฟต์แวร์ รถไฟฟ้าไม่ต้องชาร์จ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเพิ่มคุณสมบัติใหม่

ความแตกต่างระหว่างรถชาร์จไฟฟ้า กับรถที่ใช้น้ำมัน 

  รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ รถไฟฟ้าไม่ต้องชาร์จ แตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่มาก อย่างแรกคือการทำงาน โดยรถ EV จะใช้การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพื่อหมุนล้อ ส่วนของการเร่งก็เร่งได้ทันที มีแรงบิดที่แรง ให้อัตราเร่งที่รวดเร็ว ลดความเร็วได้ง่าย นอกจากนี้ไม่ปล่อยมลพิษที่ปลายท่อไอเสีย ส่วนรถที่ใช้น้ำมัน แม้จะวิ่งได้ไกลกว่ารถไฟฟ้า แต่ก็ต้องใช้น้ำมันเบนซิน หรือดีเซลเพื่อผลิตพลังงานขับเคลื่อนล้อ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการบำรุงรักษาที่มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าอยู่เยอะมากๆ 

สุดยอดเทคโนโลยี จุดชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน เหมาะกับการใช้งาน ผ่านการยอมรับในระดับโลก 

เห็นได้ชัดว่า จุดชาร์จไฟฟ้า มีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อผู้ใช้รถ EV นอกจากนี้ยังทำให้การเดินทางมีความสะดวกสบาย ไม่ยุ่งยาก ส่วนการหาจุด ชาร์จรถไฟฟ้าฟรี นั้น สามารถหาได้จากแอปพลิเคชันที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดชาร์จไฟฟ้า เช่น PlugShare, ChargePoint นอกจากนี้ยังสามารถหาจุดชาร์จได้จาก Google Maps เพียงพิมพ์ “ชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน” ลงในแถบค้นหา ก็จะเจอจุดชาร์จ ซึ่งจุดชาร์จบางที่จะแสดง ราคาชาร์จรถไฟฟ้า ให้ผู้ขับขี่ได้ทราบด้วย แต่อย่างไรก็ตามผู้ขับขี่ควรตรวจสอบความเข้ากันของเครือข่ายการชาร์จ กับรถยนต์ไฟฟ้าของคุณก่อนชาร์จ เพื่อให้การชาร์จมีประสิทธิภาพมากที่สุด 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
Content

รถยนต์อเนกประสงค์ Toyota Alphard 2023 ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

Alphard

หากจะถามถึงรถครอบครัว หรือรถอเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน บอกเลยว่า Toyota Alphard 2023 คือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ เพราะ Alphard มีความสมบูรณ์แบบในหลายๆด้าน ตั้งแต่การอำนวยความสะดวกสบาย ไปจนถึงฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ โดยปัจจุบันรถรุ่นนี้มีหลายรุ่นให้ได้เลือกใช้ เช่น Vellfire ในราคาที่เหมาะสม, Alphard Hybrid ที่เน้นความหรูหรา และสมรรถนะที่สูง ไปจนถึงAlphard 2023 ที่มีความหรูหราน่าดึงดูดใจ เหมาะที่จะเป็นรถครอบครัวสำหรับใครหลายๆคน

มาพร้อมความสวยงาม Alphard ออกแบบอย่างหรูหรา มีสไตล์ 

รถยนต์สมัยใหม่ Alphard 2023 ออกแบบมาอย่างโดดเด่น เน้นที่ดีไซน์สุดหรู ผสมผสานสุนทรียศาสตร์สมัยใหม่เข้ากับฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างลงตัว ในส่วนของกระจังหน้ามีความโดดเด่น ทำจากโครเมียมที่ทำให้รถดูหรูหรา ส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันตามแบบฉบับของ Toyota Alphard 2023 โดยมีความหรูหรา เงางาม มาพร้อมเฉดสีที่หลากหลาย มีตั้งแต่สีดำ สีเทา ไปจนถึงสีขาว

Alphard

มีความทันสมัย Alphard ให้ประสบการณ์ในการขับขี่ ที่เหนือกว่ารถทั่วไป 

รถยนต์ยี่ห้อ Toyota Alphard ไม่ว่าจะเป็น Vellfire หรือรุ่นไหนๆ ต่างก็มีความทันสมัย มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ ในการขับขี่ที่ดีกว่าเดิม ถ้าหากเปรียบเทียบกับรถรุ่นอื่นๆในปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้นรถรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับระบบการกันสั่นสะเทือน ที่ช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัย ถ้ามีการขับขี่ที่ไม่เป็นปกติ ระบบจะทำการแจ้งเตือนทันที นอกจากนี้รถ Toyota เวลไฟร์ รวมถึง Alphard Hybrid ยังมีระบบการเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ที่ช่วยปกป้องอันตรายบนท้องถนน ทำให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้ความปลอดภัยในระหว่างการใช้งานอีกด้วย 

ตอบสนองต่อความบันเทิง สร้างความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว 

เหตุผลที่ทำให้ Alphard Hybrid ทุกรุ่นเป็นที่นิยม และเป็นที่ต้องการของผู้คนก็คือความหรูหรา ความทันสมัย พร้อมกับประโยชน์การใช้งาน โดยรถรุ่นนี้ได้การออกแบบมาให้ตอบสนองต่อการใช้งาน โดยมีระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น 

  • ระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ใช้งานง่าย มอบความบันเทิงได้หลายรูปแบบ ช่วยให้สามารถเข้าถึงการนำทาง เพลง และการโทรได้ 
  • กล้อง 360 องศา ช่วยให้ผู้ขับขี่ Toyota Alphard 2023 เห็นทัศนวิสัยได้รอบคันรถ 
  • ระบบกรองรังสีอินฟราเรด และรังสี UV ทำให้ผู้คนในรถไม่ได้รับอันตรายจากแสงแดด
  • เซ็นเซอร์ช่วยจอดรถ เทคโนโลยีที่ทำให้การจอดรถ และการเคลื่อนตัวในพื้นที่แคบเป็นเรื่องง่าย 
Alphard

รถยนต์ที่เหมาะกับทุกการใช้งาน Alphard มาในราคาที่เหมาะสม จับต้องได้ 

ด้วยความที่ Toyota Alphard 2023 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความสุดยอดด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม ราคาของรถรุ่นนี้จึงค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับความคุ้มค่าแล้ว บอกเลยว่าคุ้มค่าต่อการซื้อเป็นอย่างมาก เพราะมีฟีเจอร์และเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับราคา Toyota Alphard ในรุ่นที่นิยม มีดังนี้ 

  • Toyota Alphard 2.5 HEV Luxury ราคา 4,499,000 บาท
  • Toyota Vellfire 2.5 HEV ราคา 4,279,000 บาท
  • Toyota Alphard 2.5 HEV ราคา 4,129,000 บาท

คุณสมบัติของรถยนต์ Alphard และการใช้งานสำหรับครอบครัว 

รถยนต์ Alphard Vellfire รวมถึงรุ่นอื่นๆ ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้งานในด้านครอบครัว โดยภายในถูกออกแบบมาให้มีความกว้างขวาง มีที่นั่งที่นุ่มและปลอดภัย นั่งแล้วไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะที่นั่งแต่ละที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี จะทดลองปรับนอน หรือปรับเลื่อนก็ทำได้ นอกจากนี้ Alphard 2023 และรุ่นอื่นๆ ยังมีประตูเลื่อนแบบไฟฟ้า และประตูท้ายแบบแฮนด์ฟรี ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าออก รวมถึงการใส่สัมภาระได้อย่างเหมาะสมลงตัวอีกด้วย 

การดูแลรักษารถยนต์ Alphard และการใช้งานสำหรับครอบครัว 

การดูแลรักษารถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รถมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และมีประสิทธิภาพขับขี่ที่สูงสุด ดังนั้นถ้าผู้ขับขี่ต้องการให้คุณสมบัติเหล่านี้อยู่กับรถไปนานๆ จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาและการดูแลอย่างสม่ำเสมอ โดยการนำรถเข้าศูนย์บริการของทาง Toyota เพราะทางบริษัทมีช่างผู้ชำนาญที่สามารถดูแลและแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับรถยนต์ให้กับคุณได้

รถยนต์คุณภาพระดับพรีเมียม ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับครอบครัว Alphard 

โดยรวมแล้ว Alphard 2023 คือรถมินิแวนระดับพรีเมียม ที่ผสมผสานความหรูหรา ความสะดวกสบาย และการใช้งานจริงได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งชุดคุณสมบัติช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง เช่น ระบบควบคุมความเร็ว ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ Alphard Hybrid และรุ่นอื่นๆจะกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับครอบครัว รวมไปถึงบุคคลที่กำลังมองหารถยนต์ระดับไฮเอนด์ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
Content

รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ Tesla Model 3 ทันสมัย สมรรถนะสูง เร็วแรงเกินใคร

Tesla Model 3

ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับ Tesla Model 3 รถยนต์อัจฉริยะพลังงานไฟฟ้าจากเทสล่า เป็นรถที่มาพร้อมกับความหรูหรา โฉบเฉี่ยว แต่มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยได้อย่างลงตัว จนกลายไปที่มายปองของใครต่อใคร ส่วนในเรื่องของราคา ถือว่า Tesla Model 3 ราคา ไม่แพงจนเกินไป คนทั่วไปสามารถจับต้องได้ แต่ที่ดูจะเหนือล้ำไปกว่านั้นคือ โมเดล 3 มีฟังชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการขับขี่ ช่วยให้การขับขี่มีความสะดวกสบาย และยังทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยในทุกช่วงเวลา 

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Tesla Model 3 ออกแบบได้อย่างสง่างาม สะดุดตา 

ปัจจุบัน Tesla Model 3 ราคามีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับสูง ไปจนถึงสูงมาก โดยราคาจะอ้างอิงจากฟังก์ชั่นการใช้งาน และการออกแบบ เมื่อฟังก์ชันการใช้งานครบ มีทุกอย่างที่ตอบโจทย์ความต้องการ ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ถึงแม้ราคาจะสูง โมเดล 3 ก็ยังน่าใช้ เพราะมีความทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาพร้อมกันชนหน้าที่แข็งแรง มีรูปทรงโดยรวมที่โฉบเฉี่ยว หรูหรา ให้ความตื่นตาตื่นใจกับผู้ที่พบเห็น นอกจากนี้ฟังก์ชันต่างๆของรถยังทำให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์ที่ดี แบบที่หาไม่ได้จากการทดลองรถยี่ห้อไหนในปัจจุบันอีกด้วย 

Tesla Model 3

หรูหรา ขับสบาย Tesla Model 3 ควบคุมง่าย มีหลากหลายสีให้เลือก 

ภายในของ โมเดล 3 จะคล้าย Tesla Model Y เพราะมีแนวทางการออกแบบที่เหมือนกัน โดยทางเทสล่าออกแบบให้มีความมินิมอลลิสต์ เพื่อสร้างความความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ส่วนห้องโดยสารนั้นถูกออกแบบให้มีความกว้างขวาง เน้นที่ความสะดวกสบาย ในส่วนของระบบก็สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ง่ายดาย เชื่อมต่อแล้วสามารถควบคุมส่วนต่างๆได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับข้อมูลเรื่องสี โมเดล 3 มีสีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สีดำทึบ, มิดไนท์ซิลเวอร์เมทัลลิก, สีน้ำเงินเข้มเมทัลลิก, มัลติโค้ทสีขาวมุก รวมไปถึง มัลติโค้ตสีแดง

ระบบมีความเสถียร สมรรถนะการใช้งานสูง ส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ต้องบอกเลยว่า นวัตกรรมส่งกำลังไฟฟ้าภายในห้องเครื่องของ Tesla Model 3 มีความทันสมัยมากๆ โดยสามารถส่งกำลังไฟฟ้าขั้นสูงได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โมเดล 3 ทุกรุ่นจึงวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง ตั้งแต่ Standard Range Plus ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. ต่อมาคือ Long Range ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 223 กม./ชม. และที่แรงที่สุด แรงกว่า Tesla Model Y ก็คือ Performance ที่มีพละกำลังสูงสุด 562 แรงม้า วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 261 กม./ชม.

ราคาของรถไฟฟ้าสมัยใหม่ Tesla Model 3 ที่ใครๆก็จับต้องได้ 

อย่างที่รู้กันว่า Tesla Model 3 ราคาจะแตกต่างกันไปตามฟังก์ชั่น รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในรุ่นนั้นๆ สำหรับราคาของโมเดล 3 รุ่นที่ได้รับความนิยมมีดังนี้ 

  • Standard Range Plus: ราคาเริ่มต้น 1,590,000 บาท 
  • Long Range: ราคาเริ่มต้น 1,890,000 บาท 
  • Performance: ราคาเริ่มต้น 2,150,000 บาท 

ประสิทธิภาพการใช้งานที่โดดเด่น เป็นเลิศของ Tesla Model 3

หากจะให้เปรียบเทียบในเรื่องของความแตกต่างระหว่างโมเดล 3 กับ Tesla Model Y บอกเลยว่าแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทั้ง 2 โมเดล มีชื่อเสียงในด้านความคุ้มค่าและความน่าประทับใจ เนื่องจากมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ตอบโจทย์ อย่างเช่น ระยะการใช้ไฟฟ้า ที่ทำให้เดินทางไกลในระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร, การเร่งความเร็ว ที่สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาไม่ถึง 4 วินาที รวมไปถึง Autopilot และ Full Self-Driving เทคโนโลยียานยนต์ขั้นสูง ที่คอยช่วยเหลือผู้ขับขี่ในระหว่างการเดินทาง 

มาพร้อมระบบ supercharge สุดล้ำ ชาร์จเร็วไม่ต้องรอนาน 

  รถ Tesla มีระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที โดยหลักๆจะอยู่ที่ 30 ถึง 40 นาที แต่ในกรณีที่ชาร์จเต็ม อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแหล่งจ่ายและอุปกรณ์ในการจ่ายไฟ หากแหล่งจ่ายกับอุปกรณ์ในการจ่ายไฟไม่ได้มาตรฐาน อาจจะทำให้การชาร์จไฟใช้เวลานานขึ้น ดังนั้นผู้ขับขี่จึงควรหาแหล่งชาร์จไฟที่ได้มาตรฐาน หรือติดตั้ง Tesla Wall Connector ที่บ้าน เพื่อความสะดวกและความรวดเร็วในการชาร์จ 

Tesla Model 3

สุดยอดเทคโนโลยี Tesla Model 3 เหมาะกับการใช้งาน ผ่านการยอมรับในระดับโลก 

ชัดเจนแล้วว่า เทสล่า โมเดล 3 รวมไปถึง Tesla Model Y คือรถยนต์ที่คุ้มค่าต่อการใช้งาน เหมาะที่จะซื้อมาใช้ เพราะมีระบบการใช้งานภายในที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ และที่สำคัญคือมาพร้อมระบบการป้องกันอุบัติเหตุที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีความล้ำสมัย ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงการดูแล ดังนั้นไม่ว่า Tesla Model 3 ราคาจะสูงเท่าไหร่ ยังไงก็คุ้มค่าต่อราคาที่จะต้องจ่าย ยิ่งในอนาคตยิ่งสำคัญ เพราะรถรูปแบบนี้จะช่วยลดการใช้น้ำมัน และยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet


Categories
Content

BYD ATTO 3 รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ดังจากจีน

BYD ATTO 3

ต้องยอมรับกันว่าในช่วง 10 ปีหลังที่ผ่านมา แนวคิดทางด้านรถยนต์ไฟฟ้าได้แพร่หลายออกไปทั่วโลก และที่เห็นว่าจะประสบความสำเร็จที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Tesla ที่ทำตลาดได้เกือบทั่วโลก จนกระทั่งปี 2022 ที่ผ่านมา แบรนด์จากจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง BYD ได้ทำการปล่อย BYD ATTO 3 พร้อมกับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากคนไทย ซึ่งเพียงแค่วันแรกก็มียอดจองแล้วมากกว่า 2,000 คันด้วยกัน 

โฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใครตามสไตล์ BYD

BYD ATTO3 มีการออกแบบที่โดดเด่นโดยมาในรูปแบบของ B-SUV ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ EV รุ่นบุกเบิกที่เคยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหลายปีด้วยกัน ภายในรถสามารถนั่งได้ 5 คนด้วยกัน ส่วนทางด้านการออกแบบเส้นสายด้านข้างนั้นต้องบอกเลยว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับรถจากฝั่งยุโรปเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่ามองไกลๆ นึกว่ารถยุโรปได้เลย พร้อมกับลูกเล่นภายนอกที่ให้อารมณ์ถึงความทรงพลังและปราดเปรียว 

BYD ATTO 3

นวัตกรรมสุดล้ำจาก BYD 

ด้านในของ BYD ATTO3 ถูกออกแบบมาให้เหมือนกับอยู่ภายในยานอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย หรือ คอนโซลค้านหน้า ที่เรียกได้ว่าเปรียบเสมือนกันอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องบอกว่า BYD บรรจงเนรมิต BYD ATTO3 ให้ออกมาได้ล้ำสมัยมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามทางผู้ผลิตก็ได้ลดขนาดหน้าจอลง ทำให้หลายๆ คนอาจจะเซ็งนิดหน่อย พร้อมกันนี้ ยังได้มีการเปลี่ยนสวิทช์เปลี่ยนเกียร์ใหม่เป็นแบบ Finger – Touched Electric Shift ที่สุดแสนจะล้ำสมัย 

การดูแลรักษา BYD ATTO 3 

สำหรับคนที่มีรถยนต์นั้น คงจะรู้จักการรักษาสภาพรถคันโปรดเป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่ BYD นั้นเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า เลยทำให้ต้องมีการดูแลรักษาที่ต่างจากรถยนต์ทั่วๆ ไป ซึ่งวิธีการดูแลรักษา BYD ATTO3 ก็ไม่มีอะไรมากเพียงแค่ดูตามจุดที่สำคัญๆ ประกอบไปด้วย

1. เช็คจุดชาร์จของรถให้ดีๆ 

2. ตรวจสอบสายชาร์จและหัวชาร์จเป็นประจำอยู่เสมอ 

3. ตรวจสอบระบบการทำงานภายในรถอยู่เสมอ 

4. ตรวจสภาพยางรถและระบบเลี้ยว

5. ตรวจสอบสภาพอะไหล่ต่างๆ 

ปลอดภัยทั้งคนนั่งและคนขับ 

คำถามที่หลายๆ ชอบถามคือ BYD ATTO3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ BYD ซึ่งเป็นแบรนด์ดังจากประเทศจีน เลยทำให้หลายๆ คนอาจจะกังวลในเรื่องของระบบความปลอดภัยของตัวรถ เลยอาจจะทำให้ไม่กล้าที่จะเสี่ยงซื้อมาใช้งาน แต่บอกว่า BYD จัดเต็มอย่างมากในเรื่องระบบความปลอดภัย อาทิเช่น 

1. ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

2. ระบบการแจ้งเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยจากเบาะหน้าและเบาะหลัง 

3. ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) 

4. เบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ AUTO HOLD

5. ระบบที่จะช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HDC

  6. กล้องมองรอบรถ 360 องศา 

7. ระบบการควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ 

BYD ATTO 3

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการปล่อยก๊าซ CO2 

ด้วยความที่ BYD ATTO3 เป็นรถยนต์จากประเทศจีน ดังนั้นคำถามต่อมาที่มีคนถามมากคือ รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า ต้องบอกว่าด้วยความที่ BYD ATTO3 เป็นยานยนต์ระบบไฟฟ้า ไม่ต้องใช้น้ำมัน เลยทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะเป็น 0 เรียกได้ว่า BYD เนรมิตรถคันนี้มาเพื่อเป็นมิตรกับธรรมชาติและยังช่วยดูและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ 

จะคุ้มแค่ไหนเมื่อซื้อ BYD ATTO3 

คำถามต่อมาสำหรับคนที่กำลังสนใจในตัว BYD ATTO3 นั่นคือความคุ้มค่าในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้มาใช้ ต้องบอกว่าราคาเปิดตัวของรถยนต์ยี่ห้อนี้อยู่ที่ 1,099,900 บาท ในรุ่น Standard Range และ 1,199,900 บาท ในรุ่น Extended Range ซึ่งคนที่จะตอบโจทย์ในความคุ้มค่าได้แค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของผู้ขับขี่เสียมากกว่า รวมถึงการดูแลรักษาด้วยเช่นเดียวกัน 

ความต่างระหว่าง 2 รุ่นของ BYD ATTO3 

แน่นอนว่าตอนเปิดตัวในไทยเมื่อปี 2022 BYD ATTO3 เปิดตัวออกมา 2 รุ่นพร้อมกันนั่นคือ Standard Range และ Extended Range คำถามก็เลยเกิดขึ้นมาอีกว่า แล้วทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกันตรงไหน ซึ่งความแตกต่างของ ยานยนต์ 2 รุ่นนี้ จะมีดังนี้ 

1. ความต่างของ แบตเตอรี่ – โดยในรุ่น Standard จะมีความจุของแบตเตอรี่ 50.1 กิโลวัตต์ ส่วนในรุ่น Extended จะมีความจุ 60.48 กิโลวัตต์ และในรุ่น Extended จะมาพร้อมระบบจ่ายกระแสไฟ 2V โดยจะกระจายพลังงานจากรถไปสู่ระบบไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถ

2. ระยะทางวิ่งสูงสุด – รุ่น Standard มีระยะทางวิ่ง 410 กิโลเมตร ต่อการชาร์จจนเต็ม 1 ครั้ง ส่วนรุ่น Extended มีระยะการวิ่งอยู่ที่ 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จจนเต็ม 1 ครั้ง 

บทสรุปส่งท้าย 

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับ BYD ATTO3 เหมาะกับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบรถระบบไฟฟ้าและไม่ต้องเติมน้ำมันให้เสียเวลา แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละท่านด้วย เพราะด้วยตอนนี้ศูนย์การให้บริการของ BYD ยังถือว่ามีน้อยมากในประเทศไทย รวมถึงอะไหล่ต่างๆ ก็ยังหาได้ยาก หากใช้งานไม่ดีหรือใช้ผิดประเภทอาจจะทำให้รถพังก่อนกำหนดก็เป็นได้ แต่สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าอยู่ BYD ATTO3 ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

BMW X5 ยานยนต์แห่งอนาคต

BMW X5

เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ BMW X5 เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่นด้วยกันคือ X5 xDrive 30d M Sport และ รุ่น X5 xDrive 50e M Sport มาพร้อมกับดีไซน์ครอบครัวที่แต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหรามีระดับตามสไตล์ของ BMW เจ้าพ่อแห่งวงการยานยนต์อันดับต้นๆ ของโลก พร้อมกันนี้ BMW X5 ยังแถมด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ทาง BMW ขนมาแบบไร้ขีดจำกัด ที่จะช่วยให้ทุกการเดินทางราบรื่นและปลอดภัย

เอกลักษณ์ความหรูหราตามสไตล์ BMW

แม้ว่า BMW X5 จะเป็นยานยนต์ที่มาในรูปแบบของรถครอบครัว แต่ยังคงแฝงไปด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของ BMW เอาไว้เหมือนเดิม อย่างแรกนั่นคือโลโก้ด้านหน้าและด้านหลังรวมถึงที่ล้อทั้ง 4 ตัว ด้านในมีการดีไซน์ให้โฉบเฉี่ยวเหมาะสำหรับวัยรุ่น หรือสำหรับคนที่ชื่นชอบดีไซน์อันเป็นจุดเด่นของทาง BMW ที่มักจะเน้นในโทนสีดำภายในตัวรถด้านใน ทำให้เวลานั่งอยู่ภายในรถจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลในการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกริบซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างของทาง BMW 

เทคโนโลยีเฉพาะสำหรับ BMW

ด้วยความที่เป็นรถยนต์ที่อาจจะบอกได้ว่าเป็นยานยนต์อนาคตของ BMW เลยทำให้ BMW X5 ถูกบรรจุไปนวัตกรรมแห่งอนาคตและเทคโนโลยีที่ล้ำยุคไปมากกว่าเดิม โดยทั้งสองรุ่นมีหน้าแสดงผลแบบ BMW Curved Display รองรับระบบปฏิบัติการโดยเฉพาะของทางค่าย BMW และระบบ iDrive แบบใหมล่าสุด รวมถึงยังมีการติดตั้งระบบ BMW Live Cockpit Professional, Connect Drive และปิดท้ายด้านการสั่งการด้วยในระบบที่ชื่อว่า BMW Gesture Control แถมด้วยระบบเบาะไฟฟ้า ที่จะมาช่วยควบคุมการทำงานของเบาะทั้งหมดภายในตัวรถอีกด้วย

BMW X5

การรักษาสภาพรถ BMW X5

แน่นอนว่ารถระดับ BMW X5 จะต้องมีการดูแลและบำรุงอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยมด้วยกัน ซึ่งครั้งนี้จะพามาพบกับวิธีการดูและบำรุงรักษารถคันโปรดของทุกคนให้อยู่สภาพพร้อมใช้งานสูงสุด โดยจะมีวิธีการใดบ้างนั้นไปติดตามกันได้

1. เช็คอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถให้ดีๆ 

 2. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอยู่

 3. เช็ครอบของรถอยู่เสมอ 

4. ตรวจสอบระบบเบรก และ ยางรถ

5. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายรถ

6. ตรวจเช็คแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย 

7. ตรวจสอบระบบการเลี้ยวอยู่เสมอ 

ระบบความปลอดภัยสุดล้ำจาก BMW X5 

ขึ้นชื่อว่า BMW หลายๆ คนคงจะรู้เป็นอย่างดีว่า เป็นยานยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์ที่สูง เลยทำให้ BMW X5 ถูกมองว่าจะต้องมีระบบปลอดภัยอยู่ในขั้นเทพอย่างแน่นอน ซึ่งระบบความปลอดภัยที่ถูกบรรจุเข้ามาประกอบได้ด้วย

1. ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า

2. ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) 

3. ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ (BA)

4. ระบบควบคุมยึดเกาะถนน (DTC)

5. ระบบป้องกันล้อขณะเบรก (ABS) 

6. ระบบควบคุมในการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) 

7. ระบบป้องกันแรงกระแทกจากด้านข้าง 

ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ BMW X5 

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นรถแห่งอนาคตทำให้ BMW X5 ถูกสร้างออกมาเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งทั้งสองรุ่นนั้นมีอัตราการสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 29.4 กิโลเมตร/ลิตร (อ้างอิงผลมาจาก ECO Sticker) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์อยู่ที่ 79 กรัม ต่อ กิโลเมตร และนอกจากนี้ ยังมีระบบแจ้งเตือนในกรณีที่ตัวรถนั้นปล่อยก๊าซ CO2 มากจนเกินไป โดยจะเป็นไฟสีเขียวขึ้นบริเวณสัญลักษณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

วิเคราะห์ก่อนซื้อ ความคุ้มค่าในการขับขี่ BMW X5 

ราคาตอนเปิดตัวของ BMW X5 ทั้งสองรุ่นเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้นในรุ่น X5 xDrive 30d M Sport อยู่ที่ 5,099,000 บาท ส่วนรุ่นที่ รุ่น X5 xDrive 50e M Sport อยู่ที่ราคา 5,399,000 บาท จะเห็นได้ว่าราคาต่างกันที่ 300,000 บาท ซึ่งสิ่งแรกที่ควรมองคือราคา อย่างต่อมาคือลักษณะการใช้งานว่าใช้งานแบบไหน ขนของ หรือ ว่าขับขี่ทั่วไป และสิ่งต่อมาคือเม็ดเงินที่ผู้ขับขี่มีอยู่ แน่นอนว่าด้วยความทันสมัยและล้ำยุคก็เป็นธรรมดาที่ BMW X5 จะเป็นยานยนต์ที่แตะไปถึงหลักล้าน

ความต่างระหว่างทั้งสองรุ่น 

มาถึงข้อที่หลายๆ คนอยากจะทราบถึงว่า BMW X5 X5 xDrive 30d M Sport มีความแตกต่างกับ BMW X5 X5 xDrive 50e M Sport อย่างไร โดยทั้งสองรุ่นมีความต่างกันดังนี้ 

1. แรงม้า – รุ่น X5 xDrive 30d M Sport มีแรงม้าที่ 298 แรงม้า 670 นิวตันเมตร ส่วน X5 xDrive 50e M Sport อยู่ที่ 498 แรงม้า 700 นิวตันเมตร 

2. น้ำหนักตัวรถ – 30d M Sport มีน้ำหนัก 2,295 กิโลกรัม ส่วน 50e M Sport มีน้ำหนัก 2,495 กิโลกรัม 

3. ความจุหลังรถ – 30d M Sport จุได้ 1,870 ลิตร ส่วน 50e M Sport 1,720 ลิตร

4. อัตราเร่ง

5. ระบบการสั่นสะเทือน

6. อุปกรณ์ภายในและภายนอก 

บทส่งท้ายกับ BMW X5

มองโดยรวมแล้วถือว่า BMW X5 เป็นยานยนต์แนวครอบครัวที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แม้ว่าราคาอาจจะสูงไปหน่อยสำหรับบางคน แต่เมื่อมองระบบการทำงาน, ความปลอดภัย และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างที่มีมาให้ ก็ต้องบอกได้ว่าคุ้มแสนคุ้มอย่างแน่นอนกับเจ้ายานยนต์แห่งอนาคตคันนี้ สำหรับใครที่สนใจอยากจะเป็นเจ้าของก็มองหาได้แล้วที่โชว์รูมของ BMW รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Type 57 SC Atlantic สุดยอดชิ้นงานออกแบบของ Jean Bugatti

Type 57 SC Atlantic

Type 57 SC Atlantic นับว่าเป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งของ Bugatti ที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแค่ดีไซน์ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ในเรื่องของเครื่องยนต์ และพละกำลังของรถก็แสดงถึงตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญรถรุ่นนี้ยังเป็นผลงานชิ้นออกแบบของ Jean Bugatti ลูกชายคนโตของ Ettore Bugatti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bugatti

Type 57 SC Atlantic รถซุเปอร์สปอร์ตคูเป้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Bugatti และผลิตออกมาเพียง 4 คัน

สำหรับ Bugatti Type 57ถูกผลิตออกมาทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Atlantic และ Atalante ซึ่งถูกผลิตออกมาในช่วงปี 1934 – 1940 ตรงกับช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 ของไทย และสำหรับรุ่นที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักคือ Type57 SC Atlantic ตำนานที่ยิ่งใหญ่ของ Bugatti ที่ถูกผลิตออกมาในช่วงปี 1936 และ 1938 ซึ่งถูกผลิตออกมาทั้งหมดเพียง 4 คันทั่วโลกเท่านั้น 

โดย Bugatti Atlantic เป็นชิ้นงานดีไซน์ของ Jean Bugatti (ฌอง บูกัตติ) ลูกชายคนโตของ Ettore Bugatti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bugatti ที่สำคัญ 3 ใน 4 คันของ Type57 SC Atlantic ยังคงมีมาจนถึงปัจจุบัน และยิ่งไปกว่านั้นรถรุ่นนี้ยังกลายมาเป็นรถที่มีราคาสูงที่สุดในโลกอีกด้วย และเป็นเวลายาวนานกว่า 80 ปีที่วงการยานยนต์ของโลกตามหา Atlantic คันที่ 4 ที่สูญหายไปคันนี้ โดยรถทั้ง 3 คันที่ยังปรากฏตัวให้เห็นในปัจจุบันเป็นรถที่ลูกค้าของ Bugatti สัง่ทำขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีรหัสแชสซี 57 374, 57 473 และ 57 591 และเจ้าของรถคันแรกอย่าง Bugatti type57 SC Atlantic 57 591 คือ Briton R.B. Pope. จึงทำให้รถคันนั้นถูกเรียกว่า “Pope Atlantic” และเจ้าของคนปัจจุบันยังเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ระดับโลกอย่าง Ralph Lauren อีกด้วย 

นอกจากนี้ Bugatti Atlantic ยังเป็นเหมือนไอคอนให้กับเป็น Bugatti จนกลายมาเป็นประเพณีที่สานต่อในแง่ของความสง่างาม คุณภาพ และสมรรถนะ อีกทั้งยังเป็นรถคูเป้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในยุคนั้นและยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และที่กล่าวว่า Type57 SC Atlantic กลายเป็นรถที่แพงที่สุดในโลก คำนี้ก็คงไม่ผิดไปทีเดียว โดยข้อมูลของปี 2017 เปิดเผยว่า Type57 SC Atlantic รหัส 57374 มีราคาอยู่ที่ราว 40 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 1,390,740,000 บาทเลยทีเดียว 

Bugatti Type57 SC Atlantic รหัสแชสซี 57 453 หายไปไหน? 

ตามที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า Type57 SC Atlantic มีทั้งหมดเพียง 4 คันบนโลกนี้ และมี 1 ใน 4 คันที่หายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย และดูเหมือนว่าปัจจุบันยังมีมีใครจะตามหามันเจอ โดย Bugatti type 57 คันที่หายไปคือคันที่มีรหัสแชสซี 57 453 ซึ่งเป็นรถคันที่ 2 ของรุ่น Atlantic และว่ากันว่า Jean Bugatti สร้างคันนี้ให้ตัวเอง และมีเพียงเขาหรือเพื่อนบางคนเท่านั้นที่ได้รับเกียรติให้นั่งหลังพวงมาลัยของรถคูเป้คันนี้ที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักแข่งรถ Bugatti 

Type 57 SC Atlantic

ปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Jean Bugatti ขายรถคันนี้ให้กับเพื่อนนักแข่งรถของเขาหรือไม่ หรือว่าจะถูกย้ายไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าฝรั่งเศส เนื่องจากหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และกองทัพเยอรมันก็รุกราน Alsace ซึ่งเป็นแคว้นในประเทศฝรั่งเศส และติดกับประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งหลายคนเชื่อว่าข้อนี้น่าจะเป็นไปได้มากกว่า และที่สำคัญการหายไปของมันคือหนึ่งในความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของรถยนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งนักประเมินได้ประเมินราคาของ Bugatti Type57 SC Atlantic 57 453 ไว้อยู่ที่ราว ๆ 100 ล้านยูโร หรือราว 3,718,230,425 บาทเลยทีเดียว 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Yas Marina Circuit สนามแข่ง F1 2023 ผู้รับบทปิดฤดูกาลนี้

สนามแข่ง F1 2023

ประเทศในแถบตะวันออกกลางนอกจากจะร่ำรวยจากค้าน้ำมันแล้ว กีฬามอเตอร์สปอร์ตก็นับว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศในแถบนั้นได้อย่างมหาศาล ซึ่งอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็เป็นอีกหนึ่งเจ้าภาพในการแข่งขัน Formula One ซึ่งจะถูกจัดขึ้นที่ Yas Marina Circuit สนามแข่ง F1 2023 ที่ในปีนี้เขาได้รับเกียรติให้เป็นผู้ปิดฤดูกาลนี้

ประวัติ สนามแข่ง F1 2023 Yas Marina Circuit สนามแข่งรถแห่งแรกในอาบูดาบี

หากใครที่เปิด ตาราง F1 2023 ก็คงจะได้เห็นแล้วว่าสนามแข่ง F1 2023 จะมีสนามใดบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Yas Marina Circuit สนามแข่งรถแห่งแรกของเมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยประวัติการสร้างสนามแข่งแห่งนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และวันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาฝากทุกคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้กีฬาความเร็วแท้

Yas Marina Circuit นับว่าเป็นหนึ่งใน สนามแข่งรถ ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังนับว่าเป็นพื้นที่สำหรับทุก ๆ เนื่องจากบนสนามแข่งแห่งนี้มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกมากมาย อีกทั้ง Yas Marina Circuit ยังเป็นศูนย์กลางด้านมอเตอร์สปอร์ต ความหรูหรา การเติบโตของกีฬา และการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เลยก็ว่าได้ 

โดยในปี 2006 มีการประกาศแผนการที่จะพัฒนาเกาะยาส (Yas) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของอาบูดาบี ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ซึ่งเป็นการพัฒนาทั้งเกาะ โดยแผนส่วนใหญ่มีศูนย์กลางอยู่ที่สนามแข่งระยะทาง 5.5 กิโลเมตร หรือ Yas Marina Circuit ที่รู้จักกันในทุกวันนี้ และการก่อสร้างสนามเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 และโครงการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ปี 2009 อีกทั้งสนามแข่งแห่งนี้ถูกออกแบบโดยนักออกแบบสนามแข่งชื่อดัง Hermann Tilke และก่อนการแข่งขันปี 2021 สนามแห่งนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนโดยการย่อรอบให้สั้นลงเหลือ 5.28 กม. เพื่อช่วยเพิ่มความตื่นเต้นในการแข่งขัน

Yas Marina Circuit จัดอีเวนท์มอเตอร์สปอร์ตมากกว่า 400 อีเวนท์ต่อปี

Yas Marina Circuit นอกจากจะเป็นสนามแข่ง F1 2023 สำหรับจัด Etihad Airways Abu Dhabi Grand Prix แล้วสนามแห่งนี้ยังเรียกว่าเป็นสนามแข่งรถที่คึกคักตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Yas Marina Circuit ถูกใช้เป็นสนามที่จัด การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต มากถึง 400 อีเวนท์ต่อปี ยังไม่นับรวมการจัดการแข่ง Health and Fitness ซึ่งจะเป็นการจัดการแข่งขัน TrainYAS โดย Abu Dhabi Sports Council หรือ TrainYAS Ladies โดย Abu Dhabi Sports Council ฟรีประจำสัปดาห์ หรือ TrainAM และ TriYAS ประจำปี และการประชุมใหญ่ขององค์กร เรียกได้ว่าเป็นเกาะที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง และเกาะแห่งกีฬา การออกกำลังกาย และความหรูหราอย่างแท้จริง 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

แนะนำ 5 ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ฉบับส่งท้ายปี 2023

ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี

ยางรถยนต์นับว่าเป็นอีกหนึ่งในชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะยางรถยนต์นั้นนอกจากจะช่วยให้รถยนต์ของคุณวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดน้ำมันแล้ว ยังเป็นตัวช่วยให้คุณใช้รถได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากแนะนำ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ฉบับส่งท้ายปี 2023 ซึ่งจะมียี่ห้อไหนบ้างนั้น วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้เพื่อน ๆ แล้วค่ะ

ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี 5 ยี่ห้อดัง คุณภาพจัดเต็ม

สำหรับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ที่เราจะพานำมาแนะนำให้กับเพื่อน ๆ ในวันนี้ล้วนเป็น ยางรถยนต์ ชื่อดังและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นยางที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งจะมียางยี่ห้อไหน หรือเป็นยางรถยนต์แบรนด์ที่คุณกำลังใช้อยู่หรือไม่ เรารวบรวมมาให้แล้วดังนี้

  • Pirelli (พิเรลลี่) ผู้ผลิตยางรถยนต์ข้ามชาติของอิตาลี ที่ผลิตทั้งในส่วนยางสำหรับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และจักรยาน โดยเฉพาะในส่วนของยางรถยนต์ที่มีการพัฒนายางให้มีคุณสมบัติที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภททั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถสปอร์ต รถบรรทุกหรือแม้กระทั่งรถแข่ง โดยราคายางรถยนต์จากแบรนด์นี้มีราคาอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาท/เส้น และที่สำคัญยางทั้งหมดของ Pirelli ยังนำเข้าจากอเมริกา และยุโรป 100%  
ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี
  • Michelin (มิชลิน) บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ข้ามชาติของฝรั่งเศส ที่ผลิตยางสำหรับรถยนต์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์, จักรยานยนต์, รถแข่ง, รถบรรทุก, รถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro), เครื่องบิน, รถสำหรับการก่อสร้าง และสำหรับการเกษตร เป็นต้น และเมื่อมีการจัด อันดับยางรถยนต์ของโลก มิชลิน กลายเป็นอันดับ 1 ของโลกโดยไม่มีข้อสงสัย โดยราคาของยางรถยนต์จากมิชลินเริ่มต้นที่หลักพันบาทต่อเส้น 
ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี
  • Bridgestone (บริดจสโตน) แบรนด์ผู้ผลิตยางรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีบริษัทลูกในไทยถึง 7 บริษัทด้วยกัน จึงทำให้เราสามารถซื้อยางคุณภาพดีได้ในราคาที่ย่อมเยาลง โดยราคาจากบริดจสโตนอยู่ที่หลักพันบาทต่อเส้น ซึ่งใครที่กำลังมีคำถามว่า รถวิ่งน้อย เปลี่ยนยางยี่ห้อไหนดี ก็เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ยากแนะนำเป็นอย่างยิ่ง
  • Dunlop (ดันลอป) แบรนด์ยางรถยนต์ที่ต้องเติมลมเส้นแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นในปี 1888 เมื่อ 134 ปีก่อน โดย จอห์น บอยด์ ดันลอป (John Boyd Dunlop) เป็นนักประดิษฐ์และศัลยแพทย์สัตวแพทย์ชาวสก็อต ที่พัฒนายางชนิดเติมลมชิ้นแรกขึ้นที่ประเทศไอร์แลนด์ในที่ทำงานของเขา ดังนั้นหลายคนจึงบอกว่ายาง Dunlop เป็นยางรถยนต์สัญชาติไอร์แลนด์ ซึ่ง Dunlop เป็นยางรถที่มีฐานผลิตในไทยด้วย ดังนั้นยางจากแบรนด์นี้จึงมีทั้งคุณภาพที่ดีรวมไปถึงมีราคาที่ถูกมาก ๆ โดยราคายางที่แพงสุดอยู่ที่หลักหมื่นต้น ๆ ต่อเส้นเท่านั้น
  • Goodyear (กู๊ดเยียร์) ผู้ผลิตยางที่ผลิตตั้งแต่ยางรถยนต์ รถแข่ง ไปจนถึงยางเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดของโลก ก่อตั้งโดย มร.แฟรงค์ ไซเบอร์ลิ่ง ที่ปัจจุบันมีโรงงานผลิตมากถึง 57 แห่งใน 23 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงในประเทศไทย ดังนั้นยางจากแบรนด์นี้จึงมีราคาเริ่มต้นที่ค่อนข้างถูก เช่นเดียวกับอีก 3 แบรนด์ข้างต้นที่มีฐานผลิตในไทยเช่นเดียวกัน จุดเด่นของยางกู๊ดเยียร์ที่มีราคาถูกแล้ว ยังเป็นยางที่มีอายุการใช้งานที่นาน ช่วยเรื่องประหยัดน้ำมัน และหากเป็นรุ่นนำเข้าก็ยังมีราคาที่ถูกเพียงหลักพัน จึงทำให้หลายคนเลือกใช้ยางยี่ห้อนี้ 

ยางที่ดีควรได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน 

หลังจากที่เราไปดู ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ฉบับส่งท้ายปี 2023 กันแล้ว ล่าสุดหากใครที่ได้ติดตามข่าวก็คงจะได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นโกดังเก็บยางรถยนต์แห่งหนึ่ง และพบยางรถยนต์จำนวนมากประทับตรายี่ห้อ “Thaistone” ซึ่งเป็นยางที่ถูกผลิตขึ้นโดยไม่ได้มีใบอนุญาติ และไม่ได้รับรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ดังนั้นหากใครที่กำลังใช้ยางรถยนต์จากแบรนด์ดังกล่าวเราแนะนำให้ยุติการใช้งาน หรือรีบนำไปเปลี่ยนทันที

นอกจากนี้สำหรับ ใครที่อยากใช้ยางไทย หรืออยากทราบว่า ยางรถยนต์ไทยยี่ห้อไหนดี เราอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกับ Deestone ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางสัญชาติไทยที่ได้รับมาตรฐาน อีกทั้งยังมีการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้นใครที่สนใจอยากใช้ยางแบรนด์ไทย ยี่ห้อนี้ก็เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่เราอยากแนะนำค่ะ

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

Giacomo Agostini นักแข่งมอเตอร์ไซค์ ระดับตำนานแชมป์โลก 15 สมัย

นักแข่งมอเตอร์ไซค์

หากจะกล่าวถึง นักแข่งมอเตอร์ไซค์ ระดับตำนาน หลายคนอาจจะนึกถึง Valentino Rossi แชมป์โลก 9 สมัย แต่จริง ๆ แล้วในวงการแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบมีนักบิดอีกหนึ่งคนที่บอกเลยว่าคนนี้คือ ที่สุดของตำนานวงการแข่งรถอีกหนึ่งคนเลยก็ว่าได้ เขาคนนั้นคือ Giacomo Agostini นักแข่งมอเตอร์ไซค์แชมป์โลก 15 สมัย และปัจจุบันเขายังเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจอีกหนึ่งคนของวงการกีฬาความเร็วอีกด้วย

ทำความรู้จักกับ Giacomo Agostini สุดยอด นักแข่งมอเตอร์ไซค์ 

นักแข่งมอเตอร์ไซค์

Giacomo Agostini เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1942 โดยเขาเติบโตขึ้นมาในเมือง Lovere ใกล้เมืองแบร์กาโม ประเทศอิตาลี Agostini เป็นพี่ชายคนโตในบรรดาพี่น้อง 4 คน ซึ่งในปี 1964 เขาก็ได้รับข้อเสนอให้ไปเข้าร่วมทีม Morini (Moto Morini) ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นการเป็น นักแข่งมอเตอร์ไซค์ ของเขาอย่างเป็นทางการและย้ายไปสังกัดทีม MV Agusta ในปี 1965 ซึ่งปีนั้น Giacomo ในวัย 23 ปี ก็สามารถทุบสถิติของตัวเองมาได้ ด้วยการคว้าแชมป์โลกอันดับ 2 ในการแข่งขัน 350cc ครั้งแรกที่ Nürburgring สนามแข่งที่อันตรายที่สุดในโลกมาได้ในฐานะตัวสำรองให้กับ Mike Hailwood นักแข่งมอเตอร์ไซค์ อังกฤษ แชมป์โลก 9 สมัยผู้ล่วงลับ 

หลังจากนั้น Mike Hailwood ย้ายไปสังกัดทีม Honda ในปี 1966 Giacomo Agostini ก็กลายมาเป็นนักแข่งอันดับ 1 ของ MV Agusta และตอบสนองด้วยการคว้าแชมป์โลกอันดับ 1 ในรุ่น 500cc มาให้ทีมจนได้ ซึ่งครั้งนั้นก็นับว่าเป็นการแข่งขันในรายการ 500cc ครั้งแรกของเขาอีกด้วย และตั้งแต่ปี 1966 – 1974 เขาก็ยังคงสามารถคว้าแชมป์โลกทั้งจากรายการ 500cc และ 350cc รวมแล้วทั้งหมด 15 แชมป์โลกเลยทีเดียว ซึ่งจะเรียกว่าเป็น นักแข่ง MotoGP ที่เก่งที่สุดในโลก ก็คงไม่เกินจริงอย่างแน่นอน

Giacomo Agostini ตัดสินใจเกษียณหลังหันไปแข่ง F1 แล้วไม่เวิร์ค

Giacomo Agostini ถึงแม้ว่าเราจะเรียกเขาว่าเป็น นักแข่งมอเตอร์ไซค์ แต่จริง ๆ แล้วก่อนที่เขาจะตัดสินใจเกษียณในปี 1977 ระหว่างปี 1975 ในขณะที่ Giacomo Agostini ยังคงเข้าร่วมการแข่งมอเตอร์ไซค์ในรายการ 350 และ 500cc อยู่นั้น เขาก็ได้หันไปแข่งรถ Formula และ Formula One ด้วยเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความสุขกับมันเท่าที่ควรดังนั้นในปี 1980 เขาก็ตัดสินใจเกษียณจากการเป็น นักแข่งรถระดับโลก อย่างไรก็ตาม ในปี 1982 เขากลับสู่วงการแข่งรถในฐานะผู้จัดการทีม Yamaha จนสามารถและนำ Graeme Crosby นักแข่งชาวนิวซีแลนด์ไปสู่ตำแหน่งระดับโลกในทันที และปัจจุบันเขายังคงถูกเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายการ แข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ อยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมของ Yamaha เรียกได้ว่าเป็นนักแข่งตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่างแท้จริง

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet