Categories
Content

รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ Tesla Model 3 ทันสมัย สมรรถนะสูง เร็วแรงเกินใคร

Tesla Model 3

ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับ Tesla Model 3 รถยนต์อัจฉริยะพลังงานไฟฟ้าจากเทสล่า เป็นรถที่มาพร้อมกับความหรูหรา โฉบเฉี่ยว แต่มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยได้อย่างลงตัว จนกลายไปที่มายปองของใครต่อใคร ส่วนในเรื่องของราคา ถือว่า Tesla Model 3 ราคา ไม่แพงจนเกินไป คนทั่วไปสามารถจับต้องได้ แต่ที่ดูจะเหนือล้ำไปกว่านั้นคือ โมเดล 3 มีฟังชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการขับขี่ ช่วยให้การขับขี่มีความสะดวกสบาย และยังทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยในทุกช่วงเวลา 

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Tesla Model 3 ออกแบบได้อย่างสง่างาม สะดุดตา 

ปัจจุบัน Tesla Model 3 ราคามีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับสูง ไปจนถึงสูงมาก โดยราคาจะอ้างอิงจากฟังก์ชั่นการใช้งาน และการออกแบบ เมื่อฟังก์ชันการใช้งานครบ มีทุกอย่างที่ตอบโจทย์ความต้องการ ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ถึงแม้ราคาจะสูง โมเดล 3 ก็ยังน่าใช้ เพราะมีความทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาพร้อมกันชนหน้าที่แข็งแรง มีรูปทรงโดยรวมที่โฉบเฉี่ยว หรูหรา ให้ความตื่นตาตื่นใจกับผู้ที่พบเห็น นอกจากนี้ฟังก์ชันต่างๆของรถยังทำให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์ที่ดี แบบที่หาไม่ได้จากการทดลองรถยี่ห้อไหนในปัจจุบันอีกด้วย 

Tesla Model 3

หรูหรา ขับสบาย Tesla Model 3 ควบคุมง่าย มีหลากหลายสีให้เลือก 

ภายในของ โมเดล 3 จะคล้าย Tesla Model Y เพราะมีแนวทางการออกแบบที่เหมือนกัน โดยทางเทสล่าออกแบบให้มีความมินิมอลลิสต์ เพื่อสร้างความความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ส่วนห้องโดยสารนั้นถูกออกแบบให้มีความกว้างขวาง เน้นที่ความสะดวกสบาย ในส่วนของระบบก็สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ง่ายดาย เชื่อมต่อแล้วสามารถควบคุมส่วนต่างๆได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับข้อมูลเรื่องสี โมเดล 3 มีสีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สีดำทึบ, มิดไนท์ซิลเวอร์เมทัลลิก, สีน้ำเงินเข้มเมทัลลิก, มัลติโค้ทสีขาวมุก รวมไปถึง มัลติโค้ตสีแดง

ระบบมีความเสถียร สมรรถนะการใช้งานสูง ส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ต้องบอกเลยว่า นวัตกรรมส่งกำลังไฟฟ้าภายในห้องเครื่องของ Tesla Model 3 มีความทันสมัยมากๆ โดยสามารถส่งกำลังไฟฟ้าขั้นสูงได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โมเดล 3 ทุกรุ่นจึงวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง ตั้งแต่ Standard Range Plus ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. ต่อมาคือ Long Range ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 223 กม./ชม. และที่แรงที่สุด แรงกว่า Tesla Model Y ก็คือ Performance ที่มีพละกำลังสูงสุด 562 แรงม้า วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 261 กม./ชม.

ราคาของรถไฟฟ้าสมัยใหม่ Tesla Model 3 ที่ใครๆก็จับต้องได้ 

อย่างที่รู้กันว่า Tesla Model 3 ราคาจะแตกต่างกันไปตามฟังก์ชั่น รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในรุ่นนั้นๆ สำหรับราคาของโมเดล 3 รุ่นที่ได้รับความนิยมมีดังนี้ 

  • Standard Range Plus: ราคาเริ่มต้น 1,590,000 บาท 
  • Long Range: ราคาเริ่มต้น 1,890,000 บาท 
  • Performance: ราคาเริ่มต้น 2,150,000 บาท 

ประสิทธิภาพการใช้งานที่โดดเด่น เป็นเลิศของ Tesla Model 3

หากจะให้เปรียบเทียบในเรื่องของความแตกต่างระหว่างโมเดล 3 กับ Tesla Model Y บอกเลยว่าแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทั้ง 2 โมเดล มีชื่อเสียงในด้านความคุ้มค่าและความน่าประทับใจ เนื่องจากมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ตอบโจทย์ อย่างเช่น ระยะการใช้ไฟฟ้า ที่ทำให้เดินทางไกลในระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร, การเร่งความเร็ว ที่สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาไม่ถึง 4 วินาที รวมไปถึง Autopilot และ Full Self-Driving เทคโนโลยียานยนต์ขั้นสูง ที่คอยช่วยเหลือผู้ขับขี่ในระหว่างการเดินทาง 

มาพร้อมระบบ supercharge สุดล้ำ ชาร์จเร็วไม่ต้องรอนาน 

  รถ Tesla มีระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที โดยหลักๆจะอยู่ที่ 30 ถึง 40 นาที แต่ในกรณีที่ชาร์จเต็ม อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแหล่งจ่ายและอุปกรณ์ในการจ่ายไฟ หากแหล่งจ่ายกับอุปกรณ์ในการจ่ายไฟไม่ได้มาตรฐาน อาจจะทำให้การชาร์จไฟใช้เวลานานขึ้น ดังนั้นผู้ขับขี่จึงควรหาแหล่งชาร์จไฟที่ได้มาตรฐาน หรือติดตั้ง Tesla Wall Connector ที่บ้าน เพื่อความสะดวกและความรวดเร็วในการชาร์จ 

Tesla Model 3

สุดยอดเทคโนโลยี Tesla Model 3 เหมาะกับการใช้งาน ผ่านการยอมรับในระดับโลก 

ชัดเจนแล้วว่า เทสล่า โมเดล 3 รวมไปถึง Tesla Model Y คือรถยนต์ที่คุ้มค่าต่อการใช้งาน เหมาะที่จะซื้อมาใช้ เพราะมีระบบการใช้งานภายในที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ และที่สำคัญคือมาพร้อมระบบการป้องกันอุบัติเหตุที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีความล้ำสมัย ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงการดูแล ดังนั้นไม่ว่า Tesla Model 3 ราคาจะสูงเท่าไหร่ ยังไงก็คุ้มค่าต่อราคาที่จะต้องจ่าย ยิ่งในอนาคตยิ่งสำคัญ เพราะรถรูปแบบนี้จะช่วยลดการใช้น้ำมัน และยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet


Categories
Content

BYD ATTO 3 รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ดังจากจีน

BYD ATTO 3

ต้องยอมรับกันว่าในช่วง 10 ปีหลังที่ผ่านมา แนวคิดทางด้านรถยนต์ไฟฟ้าได้แพร่หลายออกไปทั่วโลก และที่เห็นว่าจะประสบความสำเร็จที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Tesla ที่ทำตลาดได้เกือบทั่วโลก จนกระทั่งปี 2022 ที่ผ่านมา แบรนด์จากจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง BYD ได้ทำการปล่อย BYD ATTO 3 พร้อมกับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากคนไทย ซึ่งเพียงแค่วันแรกก็มียอดจองแล้วมากกว่า 2,000 คันด้วยกัน 

โฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใครตามสไตล์ BYD

BYD ATTO3 มีการออกแบบที่โดดเด่นโดยมาในรูปแบบของ B-SUV ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ EV รุ่นบุกเบิกที่เคยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหลายปีด้วยกัน ภายในรถสามารถนั่งได้ 5 คนด้วยกัน ส่วนทางด้านการออกแบบเส้นสายด้านข้างนั้นต้องบอกเลยว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับรถจากฝั่งยุโรปเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่ามองไกลๆ นึกว่ารถยุโรปได้เลย พร้อมกับลูกเล่นภายนอกที่ให้อารมณ์ถึงความทรงพลังและปราดเปรียว 

BYD ATTO 3

นวัตกรรมสุดล้ำจาก BYD 

ด้านในของ BYD ATTO3 ถูกออกแบบมาให้เหมือนกับอยู่ภายในยานอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย หรือ คอนโซลค้านหน้า ที่เรียกได้ว่าเปรียบเสมือนกันอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องบอกว่า BYD บรรจงเนรมิต BYD ATTO3 ให้ออกมาได้ล้ำสมัยมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามทางผู้ผลิตก็ได้ลดขนาดหน้าจอลง ทำให้หลายๆ คนอาจจะเซ็งนิดหน่อย พร้อมกันนี้ ยังได้มีการเปลี่ยนสวิทช์เปลี่ยนเกียร์ใหม่เป็นแบบ Finger – Touched Electric Shift ที่สุดแสนจะล้ำสมัย 

การดูแลรักษา BYD ATTO 3 

สำหรับคนที่มีรถยนต์นั้น คงจะรู้จักการรักษาสภาพรถคันโปรดเป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่ BYD นั้นเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า เลยทำให้ต้องมีการดูแลรักษาที่ต่างจากรถยนต์ทั่วๆ ไป ซึ่งวิธีการดูแลรักษา BYD ATTO3 ก็ไม่มีอะไรมากเพียงแค่ดูตามจุดที่สำคัญๆ ประกอบไปด้วย

1. เช็คจุดชาร์จของรถให้ดีๆ 

2. ตรวจสอบสายชาร์จและหัวชาร์จเป็นประจำอยู่เสมอ 

3. ตรวจสอบระบบการทำงานภายในรถอยู่เสมอ 

4. ตรวจสภาพยางรถและระบบเลี้ยว

5. ตรวจสอบสภาพอะไหล่ต่างๆ 

ปลอดภัยทั้งคนนั่งและคนขับ 

คำถามที่หลายๆ ชอบถามคือ BYD ATTO3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ BYD ซึ่งเป็นแบรนด์ดังจากประเทศจีน เลยทำให้หลายๆ คนอาจจะกังวลในเรื่องของระบบความปลอดภัยของตัวรถ เลยอาจจะทำให้ไม่กล้าที่จะเสี่ยงซื้อมาใช้งาน แต่บอกว่า BYD จัดเต็มอย่างมากในเรื่องระบบความปลอดภัย อาทิเช่น 

1. ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

2. ระบบการแจ้งเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยจากเบาะหน้าและเบาะหลัง 

3. ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) 

4. เบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ AUTO HOLD

5. ระบบที่จะช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HDC

  6. กล้องมองรอบรถ 360 องศา 

7. ระบบการควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ 

BYD ATTO 3

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการปล่อยก๊าซ CO2 

ด้วยความที่ BYD ATTO3 เป็นรถยนต์จากประเทศจีน ดังนั้นคำถามต่อมาที่มีคนถามมากคือ รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า ต้องบอกว่าด้วยความที่ BYD ATTO3 เป็นยานยนต์ระบบไฟฟ้า ไม่ต้องใช้น้ำมัน เลยทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะเป็น 0 เรียกได้ว่า BYD เนรมิตรถคันนี้มาเพื่อเป็นมิตรกับธรรมชาติและยังช่วยดูและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ 

จะคุ้มแค่ไหนเมื่อซื้อ BYD ATTO3 

คำถามต่อมาสำหรับคนที่กำลังสนใจในตัว BYD ATTO3 นั่นคือความคุ้มค่าในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้มาใช้ ต้องบอกว่าราคาเปิดตัวของรถยนต์ยี่ห้อนี้อยู่ที่ 1,099,900 บาท ในรุ่น Standard Range และ 1,199,900 บาท ในรุ่น Extended Range ซึ่งคนที่จะตอบโจทย์ในความคุ้มค่าได้แค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของผู้ขับขี่เสียมากกว่า รวมถึงการดูแลรักษาด้วยเช่นเดียวกัน 

ความต่างระหว่าง 2 รุ่นของ BYD ATTO3 

แน่นอนว่าตอนเปิดตัวในไทยเมื่อปี 2022 BYD ATTO3 เปิดตัวออกมา 2 รุ่นพร้อมกันนั่นคือ Standard Range และ Extended Range คำถามก็เลยเกิดขึ้นมาอีกว่า แล้วทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกันตรงไหน ซึ่งความแตกต่างของ ยานยนต์ 2 รุ่นนี้ จะมีดังนี้ 

1. ความต่างของ แบตเตอรี่ – โดยในรุ่น Standard จะมีความจุของแบตเตอรี่ 50.1 กิโลวัตต์ ส่วนในรุ่น Extended จะมีความจุ 60.48 กิโลวัตต์ และในรุ่น Extended จะมาพร้อมระบบจ่ายกระแสไฟ 2V โดยจะกระจายพลังงานจากรถไปสู่ระบบไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถ

2. ระยะทางวิ่งสูงสุด – รุ่น Standard มีระยะทางวิ่ง 410 กิโลเมตร ต่อการชาร์จจนเต็ม 1 ครั้ง ส่วนรุ่น Extended มีระยะการวิ่งอยู่ที่ 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จจนเต็ม 1 ครั้ง 

บทสรุปส่งท้าย 

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับ BYD ATTO3 เหมาะกับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบรถระบบไฟฟ้าและไม่ต้องเติมน้ำมันให้เสียเวลา แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละท่านด้วย เพราะด้วยตอนนี้ศูนย์การให้บริการของ BYD ยังถือว่ามีน้อยมากในประเทศไทย รวมถึงอะไหล่ต่างๆ ก็ยังหาได้ยาก หากใช้งานไม่ดีหรือใช้ผิดประเภทอาจจะทำให้รถพังก่อนกำหนดก็เป็นได้ แต่สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าอยู่ BYD ATTO3 ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว 

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
Content

BMW X5 ยานยนต์แห่งอนาคต

BMW X5

เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ BMW X5 เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่นด้วยกันคือ X5 xDrive 30d M Sport และ รุ่น X5 xDrive 50e M Sport มาพร้อมกับดีไซน์ครอบครัวที่แต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหรามีระดับตามสไตล์ของ BMW เจ้าพ่อแห่งวงการยานยนต์อันดับต้นๆ ของโลก พร้อมกันนี้ BMW X5 ยังแถมด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ทาง BMW ขนมาแบบไร้ขีดจำกัด ที่จะช่วยให้ทุกการเดินทางราบรื่นและปลอดภัย

เอกลักษณ์ความหรูหราตามสไตล์ BMW

แม้ว่า BMW X5 จะเป็นยานยนต์ที่มาในรูปแบบของรถครอบครัว แต่ยังคงแฝงไปด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของ BMW เอาไว้เหมือนเดิม อย่างแรกนั่นคือโลโก้ด้านหน้าและด้านหลังรวมถึงที่ล้อทั้ง 4 ตัว ด้านในมีการดีไซน์ให้โฉบเฉี่ยวเหมาะสำหรับวัยรุ่น หรือสำหรับคนที่ชื่นชอบดีไซน์อันเป็นจุดเด่นของทาง BMW ที่มักจะเน้นในโทนสีดำภายในตัวรถด้านใน ทำให้เวลานั่งอยู่ภายในรถจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลในการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกริบซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างของทาง BMW 

เทคโนโลยีเฉพาะสำหรับ BMW

ด้วยความที่เป็นรถยนต์ที่อาจจะบอกได้ว่าเป็นยานยนต์อนาคตของ BMW เลยทำให้ BMW X5 ถูกบรรจุไปนวัตกรรมแห่งอนาคตและเทคโนโลยีที่ล้ำยุคไปมากกว่าเดิม โดยทั้งสองรุ่นมีหน้าแสดงผลแบบ BMW Curved Display รองรับระบบปฏิบัติการโดยเฉพาะของทางค่าย BMW และระบบ iDrive แบบใหมล่าสุด รวมถึงยังมีการติดตั้งระบบ BMW Live Cockpit Professional, Connect Drive และปิดท้ายด้านการสั่งการด้วยในระบบที่ชื่อว่า BMW Gesture Control แถมด้วยระบบเบาะไฟฟ้า ที่จะมาช่วยควบคุมการทำงานของเบาะทั้งหมดภายในตัวรถอีกด้วย

BMW X5

การรักษาสภาพรถ BMW X5

แน่นอนว่ารถระดับ BMW X5 จะต้องมีการดูแลและบำรุงอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยมด้วยกัน ซึ่งครั้งนี้จะพามาพบกับวิธีการดูและบำรุงรักษารถคันโปรดของทุกคนให้อยู่สภาพพร้อมใช้งานสูงสุด โดยจะมีวิธีการใดบ้างนั้นไปติดตามกันได้

1. เช็คอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถให้ดีๆ 

 2. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอยู่

 3. เช็ครอบของรถอยู่เสมอ 

4. ตรวจสอบระบบเบรก และ ยางรถ

5. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายรถ

6. ตรวจเช็คแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย 

7. ตรวจสอบระบบการเลี้ยวอยู่เสมอ 

ระบบความปลอดภัยสุดล้ำจาก BMW X5 

ขึ้นชื่อว่า BMW หลายๆ คนคงจะรู้เป็นอย่างดีว่า เป็นยานยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์ที่สูง เลยทำให้ BMW X5 ถูกมองว่าจะต้องมีระบบปลอดภัยอยู่ในขั้นเทพอย่างแน่นอน ซึ่งระบบความปลอดภัยที่ถูกบรรจุเข้ามาประกอบได้ด้วย

1. ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า

2. ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) 

3. ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ (BA)

4. ระบบควบคุมยึดเกาะถนน (DTC)

5. ระบบป้องกันล้อขณะเบรก (ABS) 

6. ระบบควบคุมในการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) 

7. ระบบป้องกันแรงกระแทกจากด้านข้าง 

ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ BMW X5 

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นรถแห่งอนาคตทำให้ BMW X5 ถูกสร้างออกมาเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งทั้งสองรุ่นนั้นมีอัตราการสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 29.4 กิโลเมตร/ลิตร (อ้างอิงผลมาจาก ECO Sticker) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์อยู่ที่ 79 กรัม ต่อ กิโลเมตร และนอกจากนี้ ยังมีระบบแจ้งเตือนในกรณีที่ตัวรถนั้นปล่อยก๊าซ CO2 มากจนเกินไป โดยจะเป็นไฟสีเขียวขึ้นบริเวณสัญลักษณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

วิเคราะห์ก่อนซื้อ ความคุ้มค่าในการขับขี่ BMW X5 

ราคาตอนเปิดตัวของ BMW X5 ทั้งสองรุ่นเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้นในรุ่น X5 xDrive 30d M Sport อยู่ที่ 5,099,000 บาท ส่วนรุ่นที่ รุ่น X5 xDrive 50e M Sport อยู่ที่ราคา 5,399,000 บาท จะเห็นได้ว่าราคาต่างกันที่ 300,000 บาท ซึ่งสิ่งแรกที่ควรมองคือราคา อย่างต่อมาคือลักษณะการใช้งานว่าใช้งานแบบไหน ขนของ หรือ ว่าขับขี่ทั่วไป และสิ่งต่อมาคือเม็ดเงินที่ผู้ขับขี่มีอยู่ แน่นอนว่าด้วยความทันสมัยและล้ำยุคก็เป็นธรรมดาที่ BMW X5 จะเป็นยานยนต์ที่แตะไปถึงหลักล้าน

ความต่างระหว่างทั้งสองรุ่น 

มาถึงข้อที่หลายๆ คนอยากจะทราบถึงว่า BMW X5 X5 xDrive 30d M Sport มีความแตกต่างกับ BMW X5 X5 xDrive 50e M Sport อย่างไร โดยทั้งสองรุ่นมีความต่างกันดังนี้ 

1. แรงม้า – รุ่น X5 xDrive 30d M Sport มีแรงม้าที่ 298 แรงม้า 670 นิวตันเมตร ส่วน X5 xDrive 50e M Sport อยู่ที่ 498 แรงม้า 700 นิวตันเมตร 

2. น้ำหนักตัวรถ – 30d M Sport มีน้ำหนัก 2,295 กิโลกรัม ส่วน 50e M Sport มีน้ำหนัก 2,495 กิโลกรัม 

3. ความจุหลังรถ – 30d M Sport จุได้ 1,870 ลิตร ส่วน 50e M Sport 1,720 ลิตร

4. อัตราเร่ง

5. ระบบการสั่นสะเทือน

6. อุปกรณ์ภายในและภายนอก 

บทส่งท้ายกับ BMW X5

มองโดยรวมแล้วถือว่า BMW X5 เป็นยานยนต์แนวครอบครัวที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แม้ว่าราคาอาจจะสูงไปหน่อยสำหรับบางคน แต่เมื่อมองระบบการทำงาน, ความปลอดภัย และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างที่มีมาให้ ก็ต้องบอกได้ว่าคุ้มแสนคุ้มอย่างแน่นอนกับเจ้ายานยนต์แห่งอนาคตคันนี้ สำหรับใครที่สนใจอยากจะเป็นเจ้าของก็มองหาได้แล้วที่โชว์รูมของ BMW รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

Koenigsegg CC 850 สุดยอดไฮเปอร์คาร์แห่งปี 2022

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ18 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet