Categories
Content

DS9 E-Tense 4×4 360 รถยนต์ Plug-in Hybrid สุดยอดความหรูหราจากฝรั่งเศส

DS9 E-Tense 4x4 360

หากกล่าวถึงรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส เราเชื่อว่า DS Automobiles คงต้องติดหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ DS9 E-Tense 4×4 360 รถยนต์ Plug-in Hybrid ปี 2022 ที่มีดีไซน์หรูหราตามแบบฉบับของ DS และที่สำคัญรุ่นนี้ยังมาพร้อมอัตราเร่งแรงจาก 0 – 62 ไมล์/ชม. ใน 3.6 วินาทีเท่านั้น

DS9 E-Tense 4×4 360 รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ แรงม้าสูงสุด 360 แรงม้า 

DS9 E-Tense 4x4 360

DS9 E-Tense 4×4 360เป็นรถยนต์ระบบ Plug-in Hybrid ดังนั้นจึงใช้พลังงานในการขับเคลื่อนจาก 2 แหล่งพลังงานได้แก่ พลังงานน้ำมัน และ ไฟฟ้า โดย 2022DS9 E-Tense 4×4 360มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ 1598 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า 147 กิโลวัตต์ ที่ 6000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 3000 รอบต่อนาที มอเตอร์คู่ที่ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า 80 กิโลวัตต์ และ 113 แรงม้า 83 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตันเมตร ที่ 166 รอบต่อนาที 

เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันจะทำให้ DS9 E-Tense รุ่นนี้มีกำลังสูงสุด 360 แรงม้า 268 กิโลวัตต์ ที่ 6000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด (Efficient Automatic Transmission) จึงทำให้รถรุ่นนี้มาอัตราเร่งจาก 0 – 62 ไมล์/ชม. ใน 5.6 วินาที (0 – 1000 ไมล์ ใน 25.4 วินาที) และมี Top Speed ที่ 155 ไมล์/ชม. และในส่วนแบตเตอรี่ของ E-Tense 4×4 360 เป็นแบบ Lithium-Ion 11.9 kWh เซลล์ในแบตเตอรี่ 88 เซลล์ และมีอัตราการใช้พลังงานที่ 153 Wh/km การชาร์จจาก 0 – 100% ใน 1 ชั่วโมง 45 นาที นอกจากนี้การทดสอบการปล่อยไอเสียจากยานยนต์ตามมาตรฐาน WLTP เพียง 1.8 ลิตร/100 กิโลเมตรเท่านั้น

A person driving a car

Description automatically generated

ตกแต่งภายในด้วยความเรียบหรู พร้อมออปชันเพียบ

รถยนต์ DS เป็นแบรนด์รถยนต์หรูระดับพรีเมียมสัญชาติฝรั่งเศสของ Automobiles Citroën S.A. ดังนั้นดีไซน์และการตกแต่งของรถยนต์แต่ละรุ่นของแบรนด์จึงจะมีความเรียบหรู ดูแพง ตามแบบฉบับของแบรนด์ และสำหรับDS9 E-Tense 4×4 360 รุ่นนี้ก็เช่นกัน โดยการตกแต่งภายในจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่DS9 E -Tense 4×4 360 Rivoli+ และ Performance Line+ ซึ่งการตกแต่งแต่ละแบบก็จะมีราคาที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังจะมีออปชันที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย โดยการตกแต่งจะถูกแบบออกเป็น 4 ดีไซน์ดังนี้ DS Black Alcantara Interior Performance Line+, DS Basalt Black Leather Interior Rivoli+, DS Opera Rubis Rad Interior Rivoli+ (+3,000 ยูโร) และ DS Opera Basal Black Interior Rivoli+ (+3,000 ยูโร)

A picture containing indoor, accessory

Description automatically generated

โดยการตกแต่งแบบมาตรฐานที่ไม่ได้มีการซื้อออปชันต่าง ๆ เพิ่มจะเป็นรถ 5 ที่นั่ง เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Black Alcantara พร้อมเอฟเฟกต์หนังไวนิล (Performance Line+) เบาะจะถูกหุ้มด้วยหนังสีดำ Basalt ตกแต่งด้วยหนัง Nappa รูปทรงเพชร (Rivoli+) แต่สำหรับใครที่ซื้อออปชัน Rivoli Lounge Pack เพิ่ม 2,000 ยูโร คุณจะได้รับห้องโดยสารด้านหลังที่มีออปชันที่ดีเยี่ยมเพิ่มขึ้น ทั้งที่วางแขน ระบบอุ่นเบาะ ระบบระบายอากาศ และระบบนวด เป็นต้น 

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงต่าง ๆ การตกแต่งทั้ง 2 แบบจะมาพร้อม หน้าแสดงผลการขับขี่แบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว, หน้าจอกลางแบบสัมผัส HD ขนาด 12 นิ้ว, ระบบ DS Connect Nav นำทาง 3 มิติ, ลำโพง 8 ตำแหน่ง, Mirror Screen พร้อม Apple CarPlay, Android Auto และ MirrorLink, แฮนด์ฟรี Bluetooth และการสตรีมมีเดีย พร้อมช่องเสียบ USB, วิทยุดิจิตอล DAB และฟังก์ชันการจดจำเสียง เป็นต้น แต่สำหรับ Rivoli+ จะได้ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สายมาด้วย

สำหรับราคา DS9 E -Tense 4×4 360 Performance Line+ จะมาพร้อมราคารวมภาษีเริ่มต้นที่ £59,900 หรือประมาณ 2,223,809 บาท และสำหรับรุ่น Rivoli+ มีราคารวมภาษีเริ่มต้นที่ £63,000 หรือราว ๆ 2,338,898 บาท (ราคาจำหน่ายในฝรั่งเศส)

ใครว่า ดอกยาง รถยนต์ไม่สำคัญ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจถ้ายังไม่รู้ความจริง !

Hockenheimring Baden-Württemberg สนามแข่งรถเยอรมนี ที่เปิดให้บริการกว่า 90 ปี

Categories
Content

Hockenheimring Baden-Württemberg สนามแข่งรถเยอรมนี ที่เปิดให้บริการกว่า 90 ปี

สนามแข่งรถเยอรมนี

เยอรมนี” ชื่อนี้ไม่ได้มีดีแค่เบียร์ เพราะประเทศเยอรมนีเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงทั้งด้านการผลิตรถยนต์แบรนด์ดังอย่าง Mersedes-Benz, Volkswagen, Audi, Porsche และ BMW เป็นต้น รวมไปถึงยังเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านของกีฬาแข่งรถเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงทำให้เยอรมนีมีการสร้างสนามแข่งรถอยู่แทบจะทั่วทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ ซึ่ง Hockenheimring Baden-Württemberg ก็นับว่าเป็น สนามแข่งรถเยอรมนี อีกหนึ่งสนามที่มีชื่อเสียงและเปิดให้ใช้บริการมาแล้วกว่า 90 ปีเลยทีเดียว

ประวัติ สนามแข่งรถเยอรมนี “Hockenheimring Baden-Württemberg”

สนามแข่งรถเยอรมนี

Hockenheimring Baden-Württemberg (ฮ็อคเคินไฮม์ริง บาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก) สนามแข่งรถเยอรมนี ที่ติด 1 ใน 10 อันดับของ สนามแข่งรถ ที่ควรไปเยือนของเยอรมนี โดยแนวคิดในการสร้างสนามแห่งนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1930 – 1932 ซึ่งก่อนหน้านี้ Hockenheimring เป็นสนามแข่งรถแบบดั้งเดิม และยังไม่ได้ถูกพัฒนาให้เป็นสนามแข่งที่เต็มรูปแบบ แต่ในปี 1930 Ernst Christ ที่เป็นเพียงผู้ช่วยคนจับเวลาในยุคนั้นก็มีแนวคิดที่อยากจะพัฒนาและสร้างสนามแข่งในบ้านเกิดของเขาขึ้นมา 

ในปี 1931 Philipp Klein นายกเทศมนตรีของเมือง ก็ได้สนับสนุนโครงการนี้ และในวันคริสต์มาสของปีดังกล่าว สภาเทศบาลได้ลงมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติแผนสำหรับสนามแข่งรถรูปแบบใหม่ (circuit) ที่ได้มีการเสนอไปในปีก่อนหน้า ในวันที่ 23 มีนาคม 1932 การก่อสร้าง สนามแข่งรถ Hockenheimring ก็ได้เริ่มขึ้น และใช้เวลาในการก่อสร้างสนามเพียงสองเดือนเท่านั้น โดยในวันที่ 25 พฤษภาคม การแข่งขันแรกของสนามแข่งเวอร์ชันใหม่นี้ก็เริ่มขึ้นโดยเป็นการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ และนั่นก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฮอคเกนไฮม์ริงก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นความรักในกีฬามอเตอร์สปอร์ตของแฟน ๆ ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด จนกระทั่งในวันที่ 11 พฤษภาคม 1947 เพียงสองปีหลังจากสิ้นสุดสงคราม สนามแห่งนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งและได้มีการจัดการแข่งขันรถหลากหลายรายการ หนึ่งในนั้นคือ German Motorcycle Grand Prix 1957

เที่ยวรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทม (Baden-Württemberg) กี่วันก็ไม่เบื่อ 

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่กำลังมีแพลนด์จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่เยอรมนี เราอยากให้คุณได้ลองไปเที่ยวที่รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ค ซึ่งนอกจากจะเป็นรัฐที่ก่อตั้ง สนามแข่งรถเยอรมนี Hockenheimring ที่เราพาทุกคนไปรู้จักกันในวันนี้แล้ว  รัฐนี้ยังเป็นรัฐที่มีประวัติศาสตร์ที่น่าทึงและน่าสนใจ รวมไปถึงยังเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามอีกด้วย และที่สำคัญ ฮอคเกนไฮม์ริง ยังเป็นสนามแข่งที่มีอีเวนต์จัดขึ้นเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะ การแข่งขัน Motorsport ที่ปีนี้จัดให้แบบจุก ๆถึง 12 รายการ ได้แก่ DMV Goodyear Racing Days, Preis Der Stadt Stuttgart 1, Preis Der Stadt Stuttgart 2, WADAC Racing Weekend, Bosch Hockenheim Historic, Porsche Sports Cup 1, Ultimate Cup Series, Porsche Club Days, Fanatec GT World Challenge, International Deutsche Motorradmeisterschaft – Final, Hockenheim Classic และ Porsche Sports Cup 2 – Final  ซึ่งอีเวนต์ต่าง ๆ เหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นอีเวนต์มัน ๆ ที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

อ่านบทความอื่น ๆ >> Juan Manuel Fangio อดีตนักแข่ง F1 ผู้สะสมอันดับโพเดียม

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ16 ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 นุ่มเงียบ ดอกยางเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

Juan Manuel Fangio อดีตนักแข่ง F1 ผู้สะสมอันดับโพเดียม

อดีตนักแข่ง F1

หากกล่าวถึง อดีตนักแข่ง F1 ที่ขึ้นแท่นของนักแข่งระดับตำนาน Juan Manuel Fangio คงต้องติดหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน เพราะก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่วงการ Formula One อย่างเป็นทางการ เขาก็โลดแล่นในวงการกีฬามอเตอร์สปอร์ต หรือกีฬารถแข่งในฐานะนักแข่งมาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นนักแข่ง F1 อย่างเต็มตัวในปี 1950 ซึ่งเป็นปีแรกที่การแข่งขัน Formula One ได้ถือกำเนิดขึ้น 

Juan Manuel Fangio อดีตนักแข่ง F1 แชมป์โลก 5 สมัย 24 ชัยชนะ

อดีตนักแข่ง F1

Juan Manuel Fangio (ฮวน มานูเอล ฟันกิโอ) นักแข่งรถชาวอาร์เจนตินา เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1911 และเสียชีวิตในวันที่ 17 กรกฎาคม 1995 ในวัย 84 ปี โดย Fangio นับว่าเป็น อดีตนักแข่ง F1 อีกคนหนึ่งที่มีอยู่คู่กับการแข่งขัน Formula One มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก เนื่องจากการแข่งขัน Formula 1 นั้นกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1950 แต่ก่อนหน้านั้นกว่า 10 ปี Fangio ก็ได้โลดแล่นในวงการมอเตอร์สปอร์ตมาก่อนแล้ว 

ในปี 1940 Fangio ในวัย 29 ได้ก้าวเข้าสู่การแข่งขันแรกในรายการ Turismo Carretera Argentina ซึ่งเป็นการแข่งขันกับเชฟโรเลต และนับว่าเป็นหนึ่งในรายการที่มีชื่อเสียงอีกรายการหนึ่งของประเทศอาร์เจนตินาเลยก็ว่าได้ และเป็นเวลากว่า 10 ปีที่ Fangio ได้ทำการเดินสายแข่งขันรถยนต์ในรายการต่าง ๆ และตลอด 10 ปีนั้นเขานับว่าเป็นหนึ่งในนักแข่งที่มีอันดับการขึ้นครองโพเดียมมากกว่า 28 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนที่นักแข่งไม่กี่คนที่จะทำได้ 

เมื่อ Formula One ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ Fangio ก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว และจากการแข่งขันในปี 1950 เข้าสามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันในปีดังกล่าวมาได้ 3 ชัยชนะจากการแข่งขันทั้งหมด 7 รายการ ซึ่งทำให้เขาสามารถคว้าแชมป์โลกอันดับที่ 2 มาได้ในที่สุด และสำหรับการแข่งขัน Formula One ตลอด 8 ปี ตั้งแต่ 1950 – 1958 เขาก็กลายเป็น นักแข่ง F1 ที่สามารถคว้าแชมป์โลกอันดับ 1 มาได้ทั้งหมดถึง 5 สมัย และชัยชนะทั้งหมด 24 ครั้งเลยทีเดียว 

อดีตนักแข่ง F1

แชมป์ครั้งสุดท้ายก่อน Juan Manuel Fangio ปลดเกษียณตัวเอง

ในปี 1957 Fangio ในวัย 46 ปี แม้ว่าเขาจะถูกใคร ๆ เรียกว่าเป็น “Old Man” แต่คู่แข่งของเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะหลายคนต่างชื่นชมและเรียกว่าเขาว่าเป็น “นักแข่งผู้อัจฉริยะ” เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในวัยเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ในปีนั้นเขากลับสามารถความแชมป์โลกอันดับ 1 ครั้งสุดท้ายในอาชีพนักแข่งรถมาได้ โดยในขณะนั้นเขาเป็น นักแข่ง F1 Maserati ซึ่งเป็นทีมที่เขาสังกัดเป็นทีมสุดท้ายก่อนตัดสินใจเกษียณ 

หลังจากการแข่งขันในปี 1958 สิ้นสุดลง เขามีอันดับ Formula One World Championship อยู่ที่อันดับ 14 และไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นฤดูกาล เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการผลักดันตัวเองอย่างหนักเป็นเวลานาน และเศร้าใจกับการสูญเสียเพื่อนร่วมงานระหว่างการแข่งขันตอนนั้นจากการเสียชีวิตมากกว่า 30 คน Fangio จึงตัดสินใจเกษียณตัวเองโดยทิ้งสถิติแชมป์ที่ยาวนานถึง 46 ปี และตำนานที่ยังคงไม่เสื่อมคลาและเป็นที่จดจำ เขาเสียชีวิตในปี 1995 ในวัย 84 ปี ที่บ้านในอาร์เจนตินา นับเป็นเวลากว่า 28 ปีที่ อดีตนักแข่ง F1 คนนี้ได้โชว์ฝีมือการแข่งที่น่าทึ่งของเขาในรายการต่าง ๆ สู้สายตาแฟน ๆ ทุกคนและเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน  

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> เตรียมตัวพบกับ Corvette E-Ray รุ่นใหม่ล่าสุดในปี 2024 นี้

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์ “RIDE 4” เกมแข่งรถที่ภาพโคตรสวย!!

เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์

เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์ นับว่าเป็นอีกแนวเกมแข่งรถที่ได้รับความนิยม และเป็นที่ชื่นชอบกับชาวเกมเมอร์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเกมประเภทนี้เป็นเกมที่ทั้งท้าทาย เร้าใจ และทำให้เลือดของผู้เล่นสูบฉีดได้เป็นอย่างดีเลยก็ว่าได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับเกม “RIDE 4” เกมแข่งรถที่ให้ความรู้สึกสมจริง รวมไปถึงยังมีภาพที่สวยจนทำให้หลาย ๆ คนตกหลุมรักเลยก็ว่าได้

แนะนำ RIDE 4 เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์ บนคอนโซลแนว Simulator ที่อาจจะไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น

เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์

สำหรับ เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่เราจะจะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกันในวันนี้คือ RIDE 4 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา โดยเกมนี้จะเป็น เกมแข่งมอไซค์ เหมือนจริง หรือเกมแนว Simulator ที่ให้ความรู้สึกสมจริงแบบสุด ๆ เพราะนอกจากตัวเกมจะมีภาพที่สวยจนทำให้เรารู้สึกเหมือนได้หลุดเขาไปอยู่ในเกมแล้ว ในส่วนของฟิสิกส์ และการควบคุมต่าง ๆ ของเกมต้องขอบอกเลยว่า ถ้าคุณไม่เซียนจริงอาจจะหลุดโค้ง หรือเกิดอุบัติเหตุในสนามได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว ดังนั้นใครที่ไม่ใช่มืออาชีพ หรือไม่เคยเล่นเกมแนว Simulator มาก่อนก็อาจจะให้คุณรู้สึกหงุดหงิดกับเกมได้ 

นอกจาก เกม RIDE 4 จะมาพร้อมภาพสวย ๆ และฟิสิกส์ที่สมจริงแล้ว ภายในเกมยังมีมอเตอร์ไซค์ให้เลือกมากกว่า 100 คันจากหลากหลายแบรนด์ ที่สำคัญรถแข่งแต่ละคันทางทีมผู้พัฒนาเกมยังใช้เทคโนโลยีในการใช้เลเซอร์เพื่อมาสแกนรถภาพรถในรูปแบบ 3มิติ ซึ่งจะมีความแม่นยำ และไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ของรถแต่ละคัน ก็จะไม่พลาดแม้แต่น้อย ดังนั้นเกมนี้จึงเป็นเกมที่ให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบที่คุณแทบจะไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยก็ว่าได้ 

เกมมอเตอร์ไซค์ออนไลน์ รองรับหลายอุปกรณ์ พร้อมลดราคาจัดหนักบน Steam 

สำหรับ เกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์ “RIDE 4” ที่เรานำมาแนะนำให้กับเพื่อน ๆ ในวันนี้ เป็นเกมแข่งรถคอนโซลที่รองรับหลากหลายอุปกรณ์ ทั้งในส่วนของ Windows PC, PlayStation4, Playstation5, Xbox Xbox One และ Xbox Series X|S ซึ่งคุณสามารถเล่นแบบ Online multiplayer ได้ตั้งแต่ 2 – 21 คน ดังนั้นใครที่เป็นสายตี้เกมไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง 

นอกจากนี้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 24 มีนาคม 2023 ใครที่เป็นสายเล่นเกมแข่งรถมอเตอร์ไซค์ pc ยิ่งไม่ควรพลาดเลย!! เพราะบน Steam จัดโปรโมชั่นลดราคา “Spring Sale” แบบจุก ๆ และลดราคาเกมอีกหลาย ๆ เกมสูงสุด 80% จากราคา 1,590 บาท เหลือเพียง 318 บาท รวมไปถึง RIDE 4 – Complete the Set ที่ลดจัดหนัก 82% จาก 4,324 บาท เหลือเพียง 778.32 บาท ดังนั้นใครที่ไม่อยากพลาดที่จะเล่นเกมมัน ๆ ฟิสิกส์เลิศ ๆ สนุก ๆแบบนี้ไม่รีบไม่ได้แล้ว

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Elena Myers หนึ่งใน นักแข่งรถหญิง ที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวย

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

Elena Myers หนึ่งใน นักแข่งรถหญิง ที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวย

นักแข่งรถหญิง

หากกล่าวถึงรายชื่อ นักแข่งรถหญิง เราเชื่อว่าสำหรับใครที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้กีฬาแข่งรถ ก็คงจะคิดไม่ออกเลยว่าสาว ๆ คนไหนบ้างที่เป็นนักแข่งรถมืออาชีพ แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “Elena Myers” นักแข่งรถสาวสวยที่ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นคุณแม่ลูกสอง และมีครอบครัวแสนอบอุ่น จนหลาย ๆ คนแทบลืมไปเลยว่าในอดีตเธอเคยเป็นหนึ่งในนักแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ครบเครื่องที่สุดอีกคนนึงเลยก็ว่าได้ 

เปิดประวัติ Elena Myers นักแข่งรถหญิง คนแรกที่ชนะการแข่งขัน AMA Pro Racing sprint road

นักแข่งรถหญิง

Elena Myers หรือ Elena Myers Court นักแข่งรถหญิง ชาวอเมริกัน ปัจจุบันเธอกลายเป็นคุณแม่ลูก 2 ในวัน 29 ปี ที่มีประวัติในเส้นทางการเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ที่มีประวัติน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดย Elena Myers เธอเกิดวันที่ 21 พฤศจิกายน 1993 และเริ่มต้นเส้นทางการเป็น นักแข่งมอเตอร์ไซค์หญิง ครั้งแรกในวัย 8 ขวบ โดยที่เป็นการหัดเริ่มขี่มอเตอร์ไซค์ ด้วยการสนับสนุนจากพ่อและแม่ของเธอ จากนั้น Elena Myers เข้าร่วมการแข่งขันแรกในรายการ pocket bike racing ก่อนที่จะก้าวสู่การแข่งขันมินิไบค์ และซุเปอร์ไบค์ ตามลำดับ 

เมื่อปี 2006 Elena Myers อายุได้ 11 ปี ได้เข้าร่วมการแข่งใน Team Roadracing World ของ John Ulrich ในรายการ United States Grand Prix Racers Union (USGPRU) National Series 125 cc ซึ่งวนรายการนี้ นับว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกของเธอเลยก็ว่าได้ และหลังจากนั้นเธอก็ได้รับโอกาส และได้รับหารสนับสนุนจากสปอนเซอร์หลาย ๆ เจ้า และในปี 2010 เธอสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่โดยเธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะการแข่งขัน AMA Pro Racing sprint road และจนกระทั่งในปี 2011 คนจะรุ่นฉุดไม่อยู่ เธอในวัยอายุ 16 ปี ซึ่งนับว่าเป็นอายุต่ำสุดที่จะเทิร์นโปร ที่ได้เข้าร่วมการ แข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ระดับมืออาชีพที่สนาม Daytona International Speedway และสามารถคว้าชัยชนะอีกครั้งในรายการ SuperSport Race 2 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2012

ชีวิตปัจจุบันของ Elena Myers Court ที่กำลังจะเป็นคุณแม่ลูกสาม

หากย้อนไปเมื่อเกือบ 3 ปีก่อนหน้านี้ Elena Myers Court ยังคงสถานการณ์เป็น นักแข่งรถหญิง คุณแม่ลูกหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าเธอจะอำลาวงการ Moto Sport แต่เธอได้ผันตัวมาเป็น นักแข่งรถวิบากหญิง ที่ทำหน้าที่การเป็นคุณแม่ควบคู่ไปกับการเป็นนักแข่ง ที่เข้าร่วมการแข่งขันภายใต้ทีม Team21Motorsport แต่หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่า ปัจจุบันเธอจะผันตัวมาเป็นคุณแม่แบบ Full Time และเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เธอก็ได้อัปภาพบน Instagram ของเธอพร้อมแคปชั่น “Incoming!!! Our littlest love will be here before we know it and we are so excited! #babynumber3❤️” ซึ่งนั้นจึงเป็นสัญญาณที่บอกว่าเธอกำลังจะเป็นคุณแม่ลูก 3 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> เตรียมตัวพบกับ Corvette E-Ray รุ่นใหม่ล่าสุดในปี 2024 นี้

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

เตรียมตัวพบกับ Corvette E-Ray รุ่นใหม่ล่าสุดในปี 2024 นี้

Corvette E-Ray

Corvette E-Ray เป็นรถสปอร์ตระบบไฮบริด ที่ขับเครื่องพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Chevrolet ซึ่งหากใครที่ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของรถสปอร์ตก็อาจจะไม่ทราบว่า Chevrolet แบรนด์รถยนต์สัญชาติอเมริกันนั้น ก็ได้มีการผลิตและพัฒนารถสปอร์ต และซุเปอร์คาร์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้ก็นับว่าเป็นเวลากว่า 70 ปีเลยทีเดียว 

Corvette E-Ray มาพร้อมเครื่องยนต์ LT2 V8 กำลังสูงสุด 655 แรงม้า

Corvette E-Ray

Corvette E-Rayรถสปอร์ตสไตล์คูเป้ ที่มีพลังมาจาก 2 แหล่งพลัง ได้แก่ เครื่องยนต์สันดาป และ มอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์ของ 2024Corvette E-Ray คือ เครื่องยนต์ LT2 V8 ขนาด 6.2 ลิตร ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง โดยให้กำลัง 495 แรงม้า ที่ ที่ 6,450 รอบต่อนาที แรงบิด 470 ปอนด์-ฟุต ที่ 5,150 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนเพลาหน้า โดยให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 125 ปอนด์-ฟุต และเมื่อทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันจะทำให้ NewCorvette E Ray มีกำลังสูงสุด 655 แรงม้า จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดที่ผสานความนุ่มนวลสไตล์เกียร์อัตโนมัติเข้ากับการควบคุมของเกียร์ธรรมดา จึงทำให้คุณสามารถเปลี่ยนเกียร์ไปแบบรวดเร็ว และสมูทแบบไม่มีที่ติ และทั้งหมดนี้จึงทำให้Corvette E-Ray 0-60 ไมล์ ใน 2.5 วินาที และ Quarter-Mile ใน 10.5 วินาที

แบตเตอรี่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.9 kWh ที่สามารถชาร์จตัวเองด้วยการรับพลังงานขณะเดินทางตามฉบับไฮบริด อีกทั้งรถรุ่นนี้ยังนับว่าเป็นรถรุ่นย่อยของ Corvette C8 รถต้นแบบที่เคยสร้างตำนานในการแข่งขันระดับโลกอยู่ “Le Mans” นอกจากนี้สำหรับการตกแต่งภายในของรถ รุ่นนี้ก็เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มด้วยการผสมผสานกันระหว่างความเท่และแข็งแกร่งเข้ากับเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

โดยภายในถูกติดตั้ง standard Head-Up Display ที่ให้คุณยังสามารถจดจ่อกับเส้นทางข้อคุณได้แบบไม่ต้องละสายตา อีกทั้งยังสามารถติดตั้ง Performance Data Recorder เพื่อให้คุณสามารถพัฒนาฝีมือในการขับได้ นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ รวมถึงการติดตั้งระบบ Bose Performance Series ที่มีลำโพงมาให้มากถึง 14 ตัว และหน้าจอข้อมูลคนขับแบบใหม่ ที่ช่วยให้คุณทราบเกี่ยวกับพลังงานแบตเตอรี่ของรถ ข้อมูลประสิทธิภาพ ข้อมูลพลังงาน RWD เทียบกับ FWD และข้อมูลยานพาหนะ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดแอป E-Ray เลยทีเดียว

All-New 2024 Corvette E-Rayพร้อมให้คุณเป็นเจ้าของปลายปี 2023 นี้

สำหรับCorvette E-Ray จะเปิดให้คุณจองเป็นเจ้าของภายในปลายปี 2023 นี้ โดยCorvette E-Ray ราคา 102,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 3,435,110 บาท โดยจะมีชุดแต่ให้เลือกทั้งหมด 6 แบบ ได้แก่ 1LZ Coupe, 2LZ Coupe, 3LZ Coupe, 1LZ Convertible, 2LZ Convertible และ 3LZ Convertible ซึ่งจะเป็นรุ่นที่มีราคาสูงสุดคือ 120,850 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 4,034,335 บาท

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> MG ES รถยนต์ไฟฟ้าปี 2023 177 แรงม้า รุ่นใหม่ล่าสุดจาก MG

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

MG ES รถยนต์ไฟฟ้าปี 2023 177 แรงม้า รุ่นใหม่ล่าสุดจาก MG

MG ES

MG ES ปี 2023 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 5 ที่นั่ง 177 แรงม้า ที่ทางแบรนด์ได้ปรับโฉมใหม่ ให้มีทั้งระบบต่าง ๆ ที่ใหม่ ทันสมัย และครบครันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังรถรุ่นนี้ยังพร้อมให้คุณสั่งจองรถล่วงหน้าก่อนใครได้แล้ว ดังนั้นวันนี้เราจึงจะไม่พูดถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ไม่ได้ 

MG ES รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แวน ที่ใช้ในการชาร์จพลังงานจาก 0 – 80% เพียง 40 นาที

MG ES

รถMG ES เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แวนรุ่นใหม่จากMG ที่ทางแบรนด์ได้นำมาปรับโฉมใหม่ หรือจะเรียกว่าเป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ โดย มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor เจนเนอเรชันใหม่ ที่ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า 130 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน – เมตร ความจุแบตเตอรี่ 51 กิโลวัตต์/ชม. ทําความเร็วได้สูงสุด 185 กม./ชม. สามารถเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.3 วินาที และมีระยะเดินทางสูงสุด (NEDC Mode) 412 กิโลเมตร 

การชาร์จของ รถMG ES 2023 รองรับระบบ Quick Charge 87 kWh ที่ทำให้คุณสามารถชาร์จจาก 0 – 80% ภายในระยะเวลาเพียง 40 นาที จึงทำให้คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็ว และประหยัดระยะเวลาในการชาร์จมากยิ่งขึ้น หรือจะชาร์จผ่านMG Home Charger จาก 0 – 100% ในระยะเวลา 7 ชั่วโมง 15 นาที นอกจากนี้MG ยังมีสถานีชาร์จMG Super Charge ทั่วไทย 129 สถานี หรือพบที่ตั้งสถานีชาร์จทุก 150 กิโลเมตร ดังนั้นใครที่เป็นสายเดินทางไกล ก็ไม่ต้องห่างเรื่องของสถานีชาร์จระหว่างทางแต่อย่างใด

อุปกรณ์ภายใน และความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม พร้อมเปิดราคาไทย

สำหรับ รถMG ES รุ่นปี 2023 ที่เราพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้จะเผยโฉมให้ทุกคนให้เห็นอย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Show 2023 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2023 ที่จะถึงนี้ โดย รถMG ES 2023 ราคา ที่เปิดตัวในอังกฤษอยู่ที่ประมาณ 30,995 ปอนด์ หรือราว 1,286,170 บาท และสำหรับราคาในประเทศจีนก็อยู่ที่ราว ๆ เริ่มต้น 790,000 บาท ส่วนราคาในไทยก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้วเป็นที่เรียบร้อยโดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,200,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่ได้เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนภาครัฐ และหากใครที่อยากเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ก่อนใครคุณยังสามารถจองรถล่วงหน้าผ่าน https://onlinebooking.mgcars.com/model พร้อมรับโปรโมชั่น และข้อเสนอที่น่าสนใจต่าง ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้สำหรับอุปกรณ์ภายใน และความสะดวกสบายของ New MG ES2023 ก็เรียกว่าให้มาอย่างครบครัน โดยภายในจะถูกตกแต่งภายในด้วยวัสดุ Soft touch สีดำ เบาะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์และตกแต่งด้วยวัสดุที่ให้สัมผัสคล้ายผ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40 พวงมาลัยหุ้มหนัง ปรับ 4 ทิศทาง จอแสดงผลการขับขี่อัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-Function Display) ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 และระบบจ่ายกระแสไฟ V2L (Vehicle to Load) เป็นต้น

สุดท้ายสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ระบบเครื่องเสียง ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานต่าง ๆ ก็ให้มาแบบครบครันทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ จอกลางระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth ช่องเชื่อมต่อ USB อีกทั้งยังรองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> H-1 Elite NS รถตู้ VIP 11 ที่นั่ง ครอบครัวใหญ่คันเดียวจบ

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี

Categories
Content

H-1 Elite NS รถตู้ VIP 11 ที่นั่ง ครอบครัวใหญ่คันเดียวจบ

H-1 Elite NS

H-1 Elite NS เป็นตู้จากแบรนด์ Hyundai ที่มีขนาดใหญ่ สามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุดได้ถึง 11 ที่นั่ง ซึ่งเป็นรถที่เหมาะกับครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งคุณปู่ คุณย่า และคุณตา คุณยาย เดินทางท่องเที่ยวไปในทริปพิเศษ ดังนั้นใครที่รู้สึกว่า รถอเนกประสงค์ อย่าง SUV และ MPV ยังไม่ใช่คำตอบ รถตู้ VIP 11 ที่นั่ง รุ่นนี้ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย 

H-1 Elite NS รถตู้ 175 แรงม้า พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน

H-1 Elite NSเป็นรถตู้ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล Inline-4 DOHC 16V ขนาด 2,497 ซีซี กำลังสูงสุด 175 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 2,250 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ตัวรถมีขนาดใหญ่ ภายในกว้างขวาง ด้วยมิติตัวถัง 1,920 × 5,169 × 1,925 มม. (กว้าง × ยาว × สูง) ระยะฐานล้อ 3,200 มม. และมีระยะต่ำสุดจากพื้นอยู่ที่ 190 มม. ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ซึ่งความยาวของรถที่มีความยาวกว่า 5 เมตร และ กว้างเกือบ 2 เมตร จึงทำให้ผู้โดยสารสามารถโดยสารได้อย่างสบาย ไม่รู้สึกอึด

การตกแต่งภายในพร้อมฟังก์ชันต่าง ๆ Hyundai ก็ให้มาอย่างครบครัน โดย Hyundai h-1 elite nsจะมีที่นั่งมาให้ทั้งหมด 11 ที่นั่ง (รวมที่นั่งคน และข้างคนขับ) หุ้มด้วยหนัง โดยเบาะแถวที่ 2 สามารถปรับหมุน 180 องศา ทำให้ผู้โดยสารที่นั่งต่ำแหน่งแถว 2 สามารถหันไปพูดคุยกับผู้โดยสารแถวหลังได้ ซึ่งรูปแบบของเบาะจะสามารถปรับได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ เบาะปกติ, พับเบาะกลาง (เบาะกลางแถว 2 และ 3), หมุนเบาะแถว 2 180 องศา, พับเบาะท้าย (แถวที่ 4) และ พับเบาะท้ายเพื่อบรรทุกของได้มากขึ้น อีกทั้งบริเวณด้านหลังของพนักพิงเบาะกลางแถวที่ 2 และ 3 มีฟังก์ชันสำหรับวางแก้วน้ำและสิ่งของต่าง ๆ  

ภายในตกแต่งลายไม้ พวงมาลัยปรับระดับ สูง-ต่ำ และ เข้า-ออก พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เพื่อให้ลดความเมื่อยล้าเมื่อขับรถระยะไกล ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Auto A/C) หน้าปัดแบบ Supervision Meters มี GPS มาในตัว อีกทั้ง h-1 elite ยังให้ช่องเสียบ 12V 2 ตำแหน่ง ช่องจ่ายไฟ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ช่องเสียบ USB / AUX รองรับเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมเครื่องเสียงวิทยุ รองรับไฟล์ MP3 และ CD 1 แผ่น อีกทั้งภายในถูกติดตั้งลำโพง 6 ตำแหน่ง เป็นต้น

H-1 Elite NS

Hyundai h-1elite ns ราคา 1,399,000 บาท พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้

สำหรับ H-1 Elite NS ถูกวางจำหน่ายในไทยแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดย h-1 elite ns ราคา เริ่มต้นที่ 1,399,000 บาท ซึ่งมีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Arctic White, Timeless Black และ Tan Brown และสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ก็สามารถเข้าไปคำนวณการผ่อนชำระได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ของ Hyundai หรือเข้าไปชมรถของจริงได้ที่ศูนย์บริการ Hyundai หรือโชว์รูมของผู้นำเข้าอิสระก็ได้เช่นกัน

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Bentley continental GT Mulliner รถยนต์สุดหรู ที่แรงสุดถึง 659 แรงม้า

Categories
Content

Daytona International Speedway หนึ่งใน สนามแข่งรถ ที่ดีที่สุดของฟลอริด้า

สนามแข่งรถ

สนามแข่งรถ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ถูกพัฒนาควบคู่กับกีฬาแข่งรถมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Daytona International Speedway ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น โดยสนามแห่งนี้เป็นหนึ่งในสนามที่ดีที่สุดของรัฐฟลอริด้า และมีประวัติมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญสนามแห่งนี้ยังเหมาะกับการทำกิจกรรมสำหรับครอบครัว และเพื่อน ๆ อีกด้วย

Daytona International Speedway

Daytona International Speedway สนามแข่งรถ เก่าแก่กว่า 64 ปี

Daytona International Speedwayคือ สนามแข่งรถ ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเดย์โทนาบีช รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมี NASCAR เป็นเจ้าของสนาม โดย Sr. William France ผู้ก่อตั้ง NASCAR เริ่มวางแผนสำหรับสนามแข่งแห่งนี้ในปี 1953 เพื่อใช้ในการแข่งขันซึ่งขณะนั้นกำลังแข่งอยู่บนDaytona Beach Road Course ซึ่งเป็นสนามที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1902 แต่หลังจากที่ สนามรถแข่งDaytona International Speedway สร้างเสร็จและเปิดใช้งานในปี 1959 หรือราว ๆ 64 ปีที่แล้วDaytona Beach Road Course ก็หมดหน้าที่ลงทันที 

สนามแข่งรถ

โดย สนามรถแข่ง Daytona ถูกออกแบบมาให้รองรับการแข่งขันที่หลากหลาย ดังนั้นระยะทางของสนามสำหรับการแข่งขันรายการต่าง ๆ จึงแตกต่างกันออกไป ซึ่ง NASCAR Tri-Oval (1959–ปัจจุบัน) มีระยะทาง2.500 ไมล์ (4.023 กม.), Sports Car Course (1985–ปัจจุบัน) ระยะทาง 3.560 ไมล์ (5.729 กม.), NASCAR Road Course (2020–2021) ระยะทาง 3.570 ไมล์ (5.745 กม.) และ Motorcycle Course (2005–ปัจจุบัน) ระยะทาง 2.950 ไมล์ (4.748 กม.) อีกทั้งยังสามารถจุผู้ชมได้สูงตั้งแต่ 101,500–167,785 คนเลยทีเดียว

นอกจากนี้สนามแห่งนี้สนามแห่งนี้ยังเคยใช้เป็นสนามสำหรับการแข่งขันที่มีชื่อเสียงหลากหลายรายการ เช่น Grand Prix motorcycle racing, Daytona 200, United States motorcycle Grand Prix, 24 Hours of Daytona, Grand American Road Racing Championship และ BMW Endurance Challenge at Daytona เป็นต้น 

เดย์โทนาอินเตอร์เนชันแนลสปีดเวย์ สนามที่พักผ่อน และทำกิจกรรมครอบครัว

สนามแข่งรถ ที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ แห่งทั่วโลก นอกจากเป็นสนามที่ใช้สำหรับแข่งรถ และจัดอีเวนท์เกี่ยวกับยานยนต์รูปแบบต่าง ๆ แล้ว สนามแข่งรถยังมักจะถูกสร้างมาเพื่อใช้เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อน และทำกิจกรรมสำหรับครอบครัวและเพื่อน ๆ ซึ่ง Daytona Speedway ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น โดยสนามแข่งรถแห่งนี้จะถูกออกแบบโซนสำหรับตั้งแคมป์ และทำกิจกรรมมากถึง 10 โซน ได้แก่ Gecko Shores at Lake Lloyd $990, Geico Green RV $599, Geico Orange Campground $365, Geico Park West RV $220-240, Geico Red Premium RV $440-850, Geico Red RV $280-475, Geico Yellow Premium RV $440-990, Geico Yellow RV $409, Geico Park West Premium RV และ Geico West Horseshoe RV ซึ่งทั้งหมดนี้คุณสามารถกดซื้อตั๋วพร้อมอ่านเงื่อนไขต่าง ๆ บนเว็บไซต์ Daytona international speedway หรือหากใครที่อยากเข้าชมการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนสนามนี้ ก็สามารถเขไปกดซื้อบัตรได้ง่าย ๆ บนเว็บไซต์นี้ได้เช่นเดียวกัน  

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Bentley continental GT Mulliner รถยนต์สุดหรู ที่แรงสุดถึง 659 แรงม้า

Categories
Content

Bentley continental GT Mulliner รถยนต์สุดหรู ที่แรงสุดถึง 659 แรงม้า

Bentley continental GT Mulliner

Bentley continental GT Mulliner เป็นรถยนต์ที่ Bentley นอกจากนำเอาความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาไว้ในรถรุ่นนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทางแบรนด์นำเอามาไว้ในรถรุ่นนี้ด้วยคือ ความเท่ และ สปอร์ต ซึ่ง Bentley continental GT ปัจจุบันผู้เปิดตัวมาทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Continental GT, Continental GT Azure, Continental GT S, Continental GT Speed และ Continental GT Mulliner ซึ่งเป็นรุ่นที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้ด้วย

Bentley continental GT Mulliner พร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังทั้ง V8 และ W12 

Bentley continental GT Mulliner

Bentley continental GT Mullinerปี 2023 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องยนต์ V8 และ W12 โดยContinental GT Mullinerเครื่องยนต์ V8 Twin – Turbocharged 4.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้า (542 bhp) 404 กิโลวัตต์ ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตัน – เมตร ที่ 2,000 – 4500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ความเร็วสูงสุด 198 ไมล์/ชม. (318 กม./ชม.) อัตราเร่งBentley Continental GT Mulliner 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ใน 3.9 วินาที (0 – 100 กม./ชม. ใน 4.0 วินาที)

Continental GT Mulliner เครื่องยนต์ W12 Twin-Turbocharged 6.0 ลิตร ที่ให้แรงม้าสูงสุด 659 แรงม้า (650 bhp) 485 กิโลวัตต์ ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน – เมตร ที่ 1,500-5,000 รอบต่อนาที เกียร์คลัตช์คู่ (Dual – Clutch) 8 สปีด ความเร็วสูงสุด 208 ไมล์/ชม. (335 กม./ชม.) อัตราเร่ง 0 – 60 ไมล์/ชั่วโมง ใน 3.5 วินาที (0 – 100 กม./ชม. ใน 3.6 วินาที) 

นอกจากนี้Bentley Continental GT Mulliner 2023 ทั้ง 2 รุ่น เป็นรถคูเป้ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ภายในถูกดีไซน์ให้มีทั้งความหรูหรา และความสปอร์ตอย่างลงตัว โดยเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร ถูกพัฒนามาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และแปลกใหม่ให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตั้งแต่ระบบตัดเสียงรบกวน (Pirelli Noise Cancellation System) ไปจนถึงเครื่องสร้างประจุไอออนในอากาศที่ช่วยฟอกอากาศในห้องโดยสารอย่างต่อเนื่อง 

มีฟีเจอร์ Apple CarPlay ควบคู่ไปกับฮอตสปอต Wi-Fi และการชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ที่สำคัญคือคุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการติดตั้งลำโพง หรือ ระบบเสียงจากระบบเสียงได้จาก 3 แบรนด์ ได้แก่ Bentley Signature Audio (ติดตั้งเป็นมาตรฐาน), Bang & Olufsen 16 Channel หรือ Naim Audio 20 Channel ซึ่งทั้งหมดนี้จะออกแบบมาเพื่อ Bentley โดยเฉพาะ 

Bentley Continental GT Mullinerราคา เริ่มต้นที่ 306,600 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของBentley continental GT Mullinerปัจจุบันคุณสามารถสั่งจองรถรุ่นนี้กับ Bentley Bangkok ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการในประเทศไทยได้แล้ว โดยMulliner V8 มีราคาอยู่ที่เริ่มต้นที่ $306,600 หรือราว ๆ 10,563,289 บาท และ รุ่นMulliner W12 $341,900 หรือราว ๆ 11,779,480 บาท ซึ่งราคานี้ยังไม่ใช่ราคานำเข้าในไทย ซึ่งหากเป็นราคานำเข้าและรวมภาษีคาดว่าราคาของContinental GT Mullinerรุ่นนี้อาจจะมีสูงถึง 30 – 40 ล้านบาทเลยทีเดียว

อ่านข่าวสารรถอื่น ๆ >> Porsche Cayenne GTS Coupé คูเป้ 4 ประตู พร้อมสีพิเศษต้อนรับตรุษจีน

10 อันดับ ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ประจำปี 2566 ทนทาน กับทุกสภาพถนน และยึดเกาะถนนได้ดี